ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
อุปกรณ์นี้ผลิตมาเพื่อใช้งานโดยผู้ให้บริการมืออาชีพที่ต้องการนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ และออกแบบมาสำหรับการกวาดใบไม้ ใบสน และเศษวัสดุขนาดเล็กอื่นๆ ออกจากบริเวณสนามทัฟขนาดใหญ่เป็นหลัก
Important: เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และใช้งานอุปกรณ์อย่างเหมาะสม โปรดอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาในคู่มือผู้ใช้อย่างละเอียด เพราะการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้งานหรือไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการใช้งานอย่างปลอดภัย รวมถึงเคล็ดลับความปลอดภัยและเอกสารการฝึกอบรมได้ที่ www.Toro.com
คุณสามารถติดต่อ Toro ได้โดยตรงที่ www.Toro.com เพื่อดูข้อมูลผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เสริม ขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการค้นหาตัวแทนจำหน่าย หรือลงทะเบียนผลิตภัณฑ์
หากคุณต้องการการซ่อมบำรุง อะไหล่แท้ของ Toro หรือข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อตัวแทนบริการที่ได้รับอนุญาตหรือฝ่ายบริการลูกค้าของ Toro และเตรียมหมายเลขรุ่นและหมายเลขซีเรียลของผลิตภัณฑ์ไว้ให้พร้อม รูป 1 แสดงตำแหน่งของหมายเลขรุ่นและหมายเลขซีเรียลบนผลิตภัณฑ์ จดบันทึกหมายเลขในช่องว่างที่กำหนดให้
Important: นอกจากนี้ คุณสามารถใช้มือถือสแกนรหัส QR บนสติกเกอร์หมายเลขซีเรียลได้ (ถ้ามี) เพื่อเข้าถึงข้อมูลการรับประกัน อะไหล่ และข้อมูลผลิตภัณฑ์อื่นๆ
สัญลักษณ์เตือนอันตราย (รูป 2) ในคู่มือฉบับนี้และบนตัวเครื่องจัดทำขึ้นมาเพื่อระบุข้อความเตือนด้านความปลอดภัยที่สำคัญที่คุณจะต้องปฏิบัติตามเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
สัญลักษณ์เตือนอันตรายปรากฏอยู่เหนือข้อมูลที่เตือนเกี่ยวกับการกระทำหรือสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย และตามด้วยคำว่าอันตรายคำเตือน หรือข้อควรระวัง
อันตราย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายอย่างชัดเจน หากไม่หลีกเลี่ยง จะส่งผลให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บร้ายแรง
คำเตือน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย หากไม่หลีกเลี่ยง อาจส่งผลให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บร้ายแรง
ข้อควรระวัง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย หากไม่หลีกเลี่ยง อาจส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหรือปานกลาง
คู่มือฉบับนี้ใช้คำอีกสองคำในการเน้นข้อมูล สำคัญ เพื่อให้คุณใส่ใจศึกษาข้อมูลพิเศษเกี่ยวกับกลไกและ หมายเหตุ เพื่อเน้นข้อมูลทั่วไปที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ผลิตภัณฑ์นี้ได้มาตรฐานตามคำสั่งยุโรปทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูเอกสารรับรองมาตรฐาน (DOC) เฉพาะของผลิตภัณฑ์แยกต่างหาก
การใช้งานหรือการควบคุมรถอเนกประสงค์บนที่ดินที่ปกคลุมด้วยป่า พุ่มไม้ หรือหญ้าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายทรัพยากรสาธารณะแห่งแคลิฟอร์เนีย มาตรา 4442 หรือ 4443 ยกเว้นกรณีที่รถอเนกประสงค์ดังกล่าวติดตั้งเครื่องดักสะเก็ดไฟตามคำจำกัดความในมาตรา 4442 โดยต้องบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี หรือเป็นเครื่องยนต์ที่สร้างขึ้นมา ติดตั้ง และบำรุงรักษาเพื่อให้ป้องกันการเกิดเพลิงไหม้
คู่มือเจ้าของเครื่องยนต์ที่แนบมาจัดทำขึ้นมาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าด้วยการควบคุมการปล่อยมลพิษของระบบไอเสีย การบำรุงรักษา และการรับประกัน อะไหล่ทดแทนสามารถสั่งซื้อได้จากผู้ผลิตเครื่องยนต์
แคลิฟอร์เนีย
คำเตือนข้อเสนอ 65
ไอเสียเครื่องยนต์จากผลิตภัณฑ์นี้มีสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิด หรืออันตรายต่อระบบสืบพันธุ์อื่นๆ
แท่นแบตเตอรี่ ขั้วแบตเตอรี่ และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องมีตะกั่วและสารประกอบตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง และเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ ล้างมือหลังจากหยิบจับ
การใช้ผลิตภัณฑ์นี้อาจทำให้ต้องสัมผัสกับสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิด หรืออันตรายต่อระบบสืบพันธุ์อื่นๆ
ผลิตภัณฑ์นี้อาจทำให้คนบาดเจ็บได้ ดังนั้น ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยทั้งหมดอยู่เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บร้ายแรง
การใช้งานผลิตภัณฑ์นี้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อาจเป็นอันตรายต่อคุณและคนรอบข้างได้
อ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาของทั้งคู่มือผู้ใช้ฉบับนี้และคู่มือผู้ใช้ของรถลากพ่วงก่อนใช้งานอุปกรณ์นี้ ทุกคนที่ใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ต้องทราบวิธีใช้งานอุปกรณ์นี้และรถลากพ่วง รวมทั้งเข้าใจคำเตือน
โปรดมีสมาธิขณะควบคุมเครื่องจักร อย่าทำกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิ มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้
อย่านำมือหรือเท้าเข้าใกล้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวของเครื่องจักร
หากไม่ได้ติดตั้งแผงกั้นและอุปกรณ์นิรภัยอื่นๆ ทั้งหมดบนอุปกรณ์ หรือแผงกั้นและอุปกรณ์นิรภัยทำงานผิดปกติ กรุณาอย่าใช้อุปกรณ์
กันคนโดยรอบออกห่างจากอุปกรณ์ขณะเคลื่อนที่
กันเด็กๆ ออกจากพื้นที่ทำงาน ห้ามเด็กใช้งานอุปกรณ์โดยเด็ดขาด
หยุดอุปกรณ์ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่งก่อนจะซ่อมบำรุง หรือแก้ไขการอุดตันของอุปกรณ์
การใช้งานหรือบำรุงรักษาอย่างไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยและสังเกตสัญลักษณ์เตือนอันตราย () ได้แก่ ข้อควรระวัง คำเตือน หรืออันตราย ซึ่งเป็นคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคล การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อาจส่งผลให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
คุณสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยเพิ่มเติมที่จำเป็นในคู่มือฉบับนี้
ป้ายและคำแนะนำด้านความปลอดภัยมองเห็นได้ชัดเจน และติดอยู่ใกล้กับบริเวณที่มีโอกาสเกิดอันตราย เปลี่ยนป้ายที่เสียหายหรือหายไป |
Note: ดูด้านซ้ายและขวาของอุปกรณ์จากตำแหน่งปกติในการควบคุมอุปกรณ์
ชาร์จแบตเตอรี่ก่อนใช้งานครั้งแรก โปรดดู การชาร์จแบตเตอรี่
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
สลักข้อต่อพ่วง | 1 |
หมุดสลัก | 1 |
ตรวจสอบดูว่าโครงอุปกรณ์ขนานกับพื้น เพื่อให้สามารถเก็บเศษวัสดุขึ้นมาได้อย่างเหมาะสม
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบที่เรียบเสมอกัน
ปลดสลักแล้วหมุนแม่แรงลงที่พื้น เรียงรูให้ตรงและติดตั้งสลัก
ปรับแม่แรงเพื่อให้ส่วนบนของโครงห่างจากพื้น 59.7 ซม. (23 1/2 นิ้ว) (รูป 3)
ถอยรถลากพ่วงให้มาถึงอุปกรณ์
ปรับลิ้นข้อต่อพ่วงให้มาอยู่ในระดับเดียวกับข้อต่อพ่วงของรถลากพ่วงดังนี้:
ปลดสลักเกลียวและน็อตล็อกที่ยึดลิ้นข้อต่อพ่วงเข้ากับแผงข้อต่อพ่วง (รูป 3)
ยกลิ้นข้อต่อพ่วงขึ้นหรือลงไปยังระดับที่ใกล้เคียงกับข้อต่อขยับหลัก และยึดด้วยสลักเกลียวและน็อตล็อก
Note: หากต้องการความสูงเพิ่มเติม คุณอาจปลด ยกขึ้น ยกลง หรือถอยแผงข้อต่อพ่วงได้
ยึดลิ้นข้อต่อพ่วงเข้ากับข้อต่อพ่วงของรถลากพ่วงโดยใช้สลักข้อต่อพ่วงและหมุดสลัก (รูป 3)
ยกแม่แรงขึ้น ปลดสลักออก หมุนแม่แรงขึ้นไปยังตำแหน่งจัดเก็บ และยึดด้วยสลัก
การปลดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วงอาจทำให้อุปกรณ์หงายไปข้างหลัง ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
ระบายถังกรวยให้ว่างเปล่าก่อนจะปลดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบและขัดล้อ
ปลดสลักแล้วหมุนแม่แรงลงที่พื้น เรียงรูให้ตรงและติดตั้งสลัก
ลดแม่แรงลงมาที่พื้นเพื่อให้อุปกรณ์มั่นคง
ยกอุปกรณ์ต่อไปด้วยแม่แรงจนกว่าหมุดสลักและสลักข้อต่อพ่วงจะสามารถปลดออกจากข้อต่อพ่วงได้
เลื่อนรถลากพ่วงออกห่างจากอุปกรณ์
เก็บหมุดสลักและสลักข้อต่อพ่วงไว้ในลิ้นข้อต่อพ่วง
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
ชุด CE (ต้องสั่งเพิ่มเติม โปรดสอบถามตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาต) | 1 |
หากคุณใช้งานอุปกรณ์ในประเทศที่ปฏิบัติตามมาตรฐาน CE ให้ติดตั้งชุด CE โปรดดูคู่มือการติดตั้งของชุดอุปกรณ์
ดันคันโยกแผ่นยางลงไปยังตำแหน่งทำงานและดันขึ้นเพื่อปลด ดันคันโยกไปยังตำแหน่งบนขณะขนย้ายอุปกรณ์
Note: คุณจะบังคับแผ่นยางไว้ที่ตำแหน่งยกขณะกวาดใบไม้กองใหญ่ก็ได้
ดันคันโยกพวงแปรง Flex Tip ไปข้างหน้าเพื่อยกพวงแปรงขึ้น หากต้องการลดระดับพวงแปรงลง ให้ดันคันโยกไปข้างหน้า ปลดที่ยึด จากนั้นดันคันโยกไปข้างหลังจนกว่าจะติด ดันคันโยกไปยังตำแหน่งยกเมื่ออุปกรณ์ไม่ได้ทำงาน เมื่อจัดเก็บอุปกรณ์ หรือเมื่อขนย้ายอุปกรณ์ (รูป 4)
เมื่อต้องการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่เย็น ให้ปิดโช้คคาร์บูเรเตอร์โดยการดันคันโยกควบคุมโช้คไปยังตำแหน่งเปิด หลังจากเครื่องยนต์สตาร์ท ปรับโช้คเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานราบรื่น เปิดโช้คโดยการดันคันโยกไปยังตำแหน่งปิด การสตาร์ทเครื่องยนต์ที่อุ่นนั้นแทบไม่ต้องใช้โช้คหรือใช้เพียงเล็กน้อย (รูป 5)
สวิตช์สตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งใช้สตาร์ทและดับเครื่องยนต์ มีสามตำแหน่ง: ปิด, ทำงาน และสตาร์ท บิดกุญแจตามเข็มนาฬิกาไปยังตำแหน่งสตาร์ท เพื่อทำให้มอเตอร์สตาร์ททำงาน ปล่อยกุญแจเมื่อเครื่องยนต์สตาร์ท (รูป 5) กุญแจจะหมุนไปยังตำแหน่งทำงานโดยอัตโนมัติ หากต้องการดับเครื่องยนต์ บิดกุญแจทวนเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่งปิด
ลิ้นเร่ง (รูป 5) ใช้เพื่อควบคุมความเร็วเครื่องยนต์ระดับต่างๆ ดันคันโยกลิ้นเร่งไปที่ตำแหน่งเร็วเพื่อเพิ่มความเร็วเครื่องยนต์ ดันคันโยกไปที่ตำแหน่งช้าเพื่อลดความเร็วเครื่องยนต์
Note: ขณะใช้งานอุปกรณ์ ให้เดินเครื่องยนต์ด้วยความเร็วเต็มที่ การใช้งานอุปกรณ์ที่ความเร็วต่ำอาจทำให้คลัตช์เสียหายได้
ดึงสายโยงหางท้ายเพื่อปลดหางท้ายขณะระบายวัสดุออกจากถังกรวย (รูป 6) เมื่อไม่ใช้งานสายโยง ให้พันไว้รอบเดือยพันเชือก
สลักหางท้ายใช้เพื่อช่วยในการปลดสลักของหางท้ายขณะระบายวัสดุออกจากถังกรวย (รูป 7)
Note: ข้อมูลจำเพาะและการออกแบบอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ
กว้าง | 226 ซม. (89 นิ้ว) |
ยาว | 419 ซม. (165 นิ้ว) |
สูง | 234 ซม. (92 นิ้ว) |
น้ำหนักเมื่อไม่บรรทุก | 1,322 กก. (2,914 ปอนด์) |
ห้ามมิให้เด็กหรือผู้ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมใช้งานหรือซ่อมบำรุงอุปกรณ์โดยเด็ดขาด กฎหมายท้องถิ่นอาจจำกัดอายุของผู้ขับขี่ เจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการฝึกอบรมให้กับผู้ควบคุมและช่างซ่อมบำรุง
ทำความคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์อย่างปลอดภัย ระบบควบคุมของผู้ขับขี่ และป้ายความปลอดภัย
เรียนรู้วิธีหยุดและดับเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว
ติดตั้งแผงกั้น อุปกรณ์นิรภัย และสติกเกอร์ทั้งหมดให้ครบถ้วน ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์นิรภัยทั้งหมด และเปลี่ยนสติกเกอร์ทั้งหมดที่อ่านไม่ออกหรือหายไป ใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ที่มีสภาพดีและทำงานได้อย่างเหมาะสมเท่านั้น
อุปกรณ์มีลักษณะความสมดุล น้ำหนัก และรูปแบบการจัดการแตกต่างจากอุปกรณ์ลากพ่วงบางประเภท
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารถลากพ่วงเหมาะสำหรับใช้กับน้ำหนักขนาดนี้ โดยตรวจสอบข้อมูลกับซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตรถลากพ่วง
ห้ามดัดแปลงอุปกรณ์นี้ไม่ว่าในลักษณะใดก็ตาม
โปรดใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อจัดการกับน้ำมัน น้ำมันเป็นวัตถุติดไฟได้และละอองน้ำมันอาจระเบิดได้
ดับบุหรี่ ซิการ์ ไปป์ และแหล่งจุดไฟอื่นๆ ให้หมด
ใช้เฉพาะภาชนะบรรจุน้ำมันที่ผ่านการรับรองเท่านั้น
อย่าเปิดฝาถังเชื้อเพลิงหรือเติมน้ำมันเชื้อเพลิงในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงานหรือร้อนอยู่
อย่าเติมหรือระบายน้ำมันในพื้นที่อับ
อย่าจัดเก็บอุปกรณ์หรือภาชนะบรรจุน้ำมันในที่ที่มีเปลวไฟ ประกายไฟ หรือไฟนำร่อง เช่น บนเครื่องทำน้ำร้อน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
หากน้ำมันหก อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ หลีกเลี่ยงการสร้างแหล่งจุดไฟจนกว่าละอองน้ำมันจะระเหยไป
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วที่ใหม่และสะอาด (อายุไม่เกิน 30 วัน) และมีค่าออกเทน 87 ขึ้นไป (วิธีการคิด (R+M)/2)
เอทานอล:น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกิน 10% (แก๊สโซฮอล) หรือ MTBE (เมทิลเทอเทียรีบิวทิลอีเธอร์) 15% โดยปริมาตร เอทานอลและ MTBE ไม่เหมือนกัน อุปกรณ์นี้รุ่นนี้ไม่รับรองให้ใช้น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอล 15% (E15) โดยปริมาตร ห้ามใช้น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอลมากกว่า 10% โดยปริมาตร เช่น E15 (มีเอทานอล 15%), E20 (มีเอทานอล 20%), E85 (มีเอทานอล 85%) การใช้น้ำมันเบนซินที่ไม่ได้รับการรับรองอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสมรรถนะของอุปกรณ์และ/หรือทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ซึ่งการรับประกันอาจจะไม่คุ้มครอง
ห้ามใช้น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเมทานอล
ห้ามเก็บเชื้อเพลิงไว้ในภาชนะหรือถังเชื้อเพลิงในช่วงฤดูหนาว เว้นแต่มีการใส่สารคงสภาพ
ห้ามผสมน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเบนซิน
Important: เพื่อลดปัญหาการสตาร์ท ให้เติมสารคงสภาพเชื้อเพลิงลงในเชื้อเพลิงทุกฤดูกาล โดยผสมกับเชื้อเพลิงที่อายุไม่เกิน 30 วัน, ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานจนเชื้อเพลิงหมดก่อนจัดเก็บ หากเก็บไว้นานกว่า 30 วันห้ามใช้สารเติมแต่งน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นใด นอกจากสารปรับสภาพ/สารคงสภาพเชื้อเพลิง ห้ามใช้สารคงสภาพเชื้อเพลิงชนิดแอลกอฮอล์ เช่น เอทานอล, เมทานอล หรือไอโซโพรพานอล
ความจุถังน้ำมัน: 37.8 ลิตร (10 แกลลอนสหรัฐ)
จอดอุปกรณ์ไว้บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ และปล่อยให้เครื่องยนต์เย็น
ทำความสะอาดรอบๆ ฝาถังน้ำมัน และเปิดออกมา
เติมน้ำมันลงในถังให้ต่ำกว่าด้านบนสุดของถัง (ด้านล่างสุดของช่องเติม) ประมาณ 25 มม. (1 นิ้ว)
Important: พื้นที่ในถังนี้เผื่อไว้ให้น้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัว อย่าเติมน้ำมันมากเกินไป
ปิดฝาถังน้ำมันให้แน่น
เช็ดน้ำมันที่หก
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
เครื่องยนต์จัดส่งมาโดยมีการเติมน้ำมันคุณภาพสูงไว้ให้แล้วในห้องข้อเหวี่ยง อย่างไรก็ตาม ให้ตรวจสอบระดับน้ำมันก่อนและหลังการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรก
ความจุห้องข้อเหวี่ยงอยู่ที่ประมาณ 1.9 ลิตร (2 ควอร์ต) พร้อมไส้กรอง
Note: เวลาที่เหมาะที่สุดในการตรวจสอบน้ำมันเครื่องคือเมื่อเครื่องยนต์เย็น ก่อนที่จะสตาร์ทอุปกรณ์เป็นครั้งแรกของวัน หากเครื่องยนต์ทำงานไปแล้ว รอให้น้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าไปสู่อ่างน้ำมันเครื่องอย่างน้อย 10 นาทีก่อนที่จะตรวจสอบ หากระดับน้ำมันพอดีกับหรืออยู่ต่ำกว่าจุดเติมบนก้านวัด เติมน้ำมันเพื่อให้ระดับน้ำมันถึงขีดเต็ม อย่าเติมจนล้น หากระดับน้ำมันอยู่ระหว่างขีดเต็มกับขีดเติม ไม่ต้องเติมน้ำมันเพิ่ม
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่งก่อนลุกออกจากที่นั่งของผู้ปฏิบัติงาน
เช็ดรอบๆ ก้านวัดระดับน้ำมัน เพื่อไม่ให้ฝุ่นร่วงลงไปในช่องเติมและทำให้เครื่องยนต์เสียหาย (รูป 8)
ดึงก้านวัดออก เช็ดให้สะอาด และใส่ก้านวัดกลับเข้าไปจนสุด
ดึงก้านวัดออกและตรวจสอบระดับน้ำมันบนก้านวัด
ระดับน้ำมันควรไม่ควรเกินขีดเต็มบนปลายก้านวัดโลหะ
หากระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดเต็ม ให้เปิดฝาท่อเติม และเติมน้ำมันจนกว่าน้ำมันจะถึงขีดเต็มบนก้านวัด (รูป 9)
Important: อย่าเติมน้ำมันลงในห้องข้อเหวี่ยงจนล้น เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ อย่าให้เครื่องยนต์ทำงาน หากระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดต่ำ เพราะเครื่องยนต์อาจเสียหายได้
ปิดฝาเติมน้ำมันและก้านวัดกลับเข้าที่
เจ้าของ/ผู้ควบคุมสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ และยังเป็นผู้รับผิดชอบอุบัติเหตุที่อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินด้วย
สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันดวงตา กางเกงขายาว รองเท้ากันลื่นที่แน่นหนา และอุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน ถ้าผมยาวให้มัดไปข้างหลังและอย่าสวมใส่เสื้อผ้าหลวมหรือเครื่องประดับที่หย่อน
อย่าขับขี่อุปกรณ์ขณะป่วย เหนื่อยล้า หรืออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด
อย่าขนส่งผู้โดยสารบนอุปกรณ์
ใช้งานอุปกรณ์กลางแจ้งหรือในพื้นที่ที่ระบายอากาศได้ดีเท่านั้น
ใช้งานอุปกรณ์ในสถานที่ที่มองเห็นทัศนวิสัยดีเท่านั้น ระมัดระวังหลุมบ่อ แอ่ง เนิน หิน หรือวัตถุอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ ทางที่ไม่ราบเรียบอาจทำให้อุปกรณ์พลิกคว่ำได้ หญ้าสูงอาจทำให้มองไม่เห็นสิ่งกีดขวาง ใช้ความระมัดระวังเมื่อเข้าใกล้มุมอับ พุ่มไม้ ต้นไม้ หรือวัตถุอื่นๆ ที่อาจขัดขวางการมองเห็น
ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ยื่นลงมา เช่น กิ่งไม้ วงกบประตู ทางเดินเหนือศีรษะ ฯลฯ
มองไปข้างหลังและมองลงก่อนถอยอุปกรณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางโล่ง
อย่าขับอุปกรณ์เข้าใกล้ทางชัน คลอง หรือทำนบ เพราะอุปกรณ์อาจพลิกคว่ำฉับพลัน หากล้อข้ามขอบหรือขอบลาดลงไป
หากอุปกรณ์สั่นผิดปกติ ให้หยุดและดับเครื่องยนต์ทันที ดึงกุญแจออก รอจนกว่าชิ้นส่วนเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง และตรวจสอบความเสียหาย ซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดก่อนกลับไปใช้งานต่อ
ลดความเร็วของอุปกรณ์ขณะวิ่งบนทางขรุขระ ไม่สม่ำเสมอ และอยู่ใกล้ขอบทางเดิน หลุมบ่อ และเมื่อทางเปลี่ยนแปลงฉับพลัน น้ำหนักอาจถ่ายเท ทำให้อุปกรณ์ไม่มั่นคงได้
อย่าสัมผัสเครื่องยนต์หรือไอเสียในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน หรือทันทีหลังจากดับเครื่องยนต์ เพราะบริเวณเหล่านี้อาจร้อนมากจนลวกผิวหนังได้
ห้ามปล่อยอุปกรณ์ที่ติดเครื่องทิ้งไว้โดยไม่มีผู้ดูแล
อย่าขับอุปกรณ์เมื่อมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่า
ตรวจสอบให้รถลากพ่วงมีแรงดันลมยางที่เหมาะสมอยู่เสมอ
ความเร็วการเดินทางสูงสุดคือ 32 กม./ชม. (20 ไมล์ต่อชั่วโมง) โดยความความเร็วจะช้าลงบนเส้นทางที่เป็นเนิน
ดับเครื่องยนต์ขณะถ่ายวัสดุในถังกรวย อย่ายืนติดกับด้านหลังถังกรวย
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ต่อกับรถลากพ่วงก่อนจะถ่ายถังกรวย
อย่าบรรทุกน้ำหนักเกินขีดจำกัดการบรรทุกของอุปกรณ์หรือรถลากพ่วง
ความเสถียรของน้ำหนักบรรทุกจะเปลี่ยนแปลงขณะเติมวัสดุลงถังกรวย
เพื่อไม่ให้อุปกรณ์พลิกคว่ำ ใช้ความระมัดระวังขณะเลี้ยวและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนที่ในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย
ถ่ายสิ่งของลงจากอุปกรณ์หรือปลดออกจากรถลากพ่วงขณะจอดอุปกรณ์บนพื้นราบ
ทางลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียการควบคุมและอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงและการเสียชีวิตได้
ตรวจสอบข้อมูลจำเพาะของรถลากพ่วง เพื่อจะได้ไม่บรรจุเกินขีดความสามารถของรถลากพ่วงขณะอยู่บนทางลาด
สำรวจบริเวณที่ทำงานเพื่อประเมินว่าทางลาดใดปลอดภัยสำหรับการขับขี่อุปกรณ์ และกำหนดขั้นตอนปฏิบัติและกฎของคุณเองสำหรับการขับอุปกรณ์บนทางลาดเหล่านี้ ใช้เหตุและผลและวิจารณญาณที่ดีขณะสำรวจ
หากคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะขับอุปกรณ์บนทางลาดใด อย่าขับ
เคลื่อนที่บนทางลาดอย่างช้าๆ และค่อยเป็นค่อยไป อย่าเปลี่ยนความเร็วหรือทิศทางอุปกรณ์อย่างฉับพลัน
หลีกเลี่ยงการขับอุปกรณ์บนทางเปียก เพราะล้ออาจจะไม่ยึดเกาะถนน อุปกรณ์อาจพลิกคว่ำได้ก่อนที่ล้อจะยึดเกาะถนน
วิ่งตรงขณะขึ้นและลงทางลาด
การหักเลี้ยวขณะขึ้นหรือลงทางลาดอาจเป็นอันตรายได้ หากคุณต้องเลี้ยวบนทางลาด ให้ทำอย่างช้าๆ และระมัดระวัง
การบรรทุกของหนักส่งผลต่อความเสถียรของอุปกรณ์บนทางลาด บรรทุกสิ่งของเบาลงหรือลดความเร็วขับเคลื่อนบนพื้นขณะวิ่งบนทางลาดหรือเมื่อถังกรวยของอุปกรณ์บรรจุวัสดุจนเต็ม
หลีกเลี่ยงการสตาร์ท การจอด หรือการหักเลี้ยวอุปกรณ์บนทางลาด โดยเฉพาะเมื่อถังกรวยบรรจุจนเต็ม การจอดอุปกรณ์ขณะลงจากทางลาดใช้เวลานานกว่าการจอดรถบนทางราบ ถ้าคุณต้องจอดอุปกรณ์ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนความเร็วฉับพลัน ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์เอียงหรือพลิกคว่ำ
ดันคันควบคุมทั้งหมดไปที่ตำแหน่งปิด หรือ ไม่ใช้งาน
ดันคันโยกลิ้นเร่งไปกลางทางระหว่างตำแหน่งช้ากับเร็ว
เปลี่ยนคันโยกโช้คไปยังตำแหน่งเปิด
Note: โช้คไม่จำเป็นขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ที่อุ่น
เสียบกุญแจเข้ากับสวิตช์สตาร์ท และบิดตามเข็มนาฬิกาเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ปล่อยกุญแจเมื่อเครื่องยนต์สตาร์ท ควบคุมโช้คเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานราบรื่น
Important: เพื่อป้องกันไม่ให้มอเตอร์สตาร์ทเตอร์มีความร้อนสูงเกิน อย่าให้สตาร์ทเตอร์ทำงานนานกว่า 10 วินาที หลังจากพยายามสตาร์ทต่อเนื่อง 10 วินาทีแล้ว ให้รอ 60 วินาทีก่อนสตาร์ทมอเตอร์สตาร์ทเตอร์อีกครั้ง
ดันคันโยกลิ้นเร่งไปยังตำแหน่งความเร็วเครื่องยนต์ตามต้องการ
ดึงคันโยกแผ่นยางไปข้างหน้าให้มากที่สุด
ดันคันโยกพวงแปรงไปข้างหน้าจนกว่าที่ยึดจะปลด จากนั้นดันคันโยกไปข้างหลังจนกว่าจะถึงตำแหน่งหยุด
Note: อย่าให้อุปกรณ์อยู่กับที่ขณะที่คราดทำงาน เนื่องจากสนามอาจเสียหายได้
ปรับคันโยกลิ้นเร่งไปยังตำแหน่งช้า
ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินรอบเบา 60 วินาที
บิดกุญแจสตาร์ทไปยังตำแหน่งปิดและดึงกุญแจออก
Note: หากต้องการหยุดอุปกรณ์ในกรณีฉุกเฉิน บิดสวิตช์สตาร์ทไปที่ตำแหน่งปิด
ควรปรับพวงแปรง Flex Tip ให้ปลายคราดแตะกับพื้นผิวเล็กน้อย แต่ไม่ทะลวงเข้าไปในพื้นสนาม
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ
หมุนสลักปรับความลึกจนกว่าคราดจะแตะกับส่วนบนของสนามหญ้าเล็กน้อย หากติดตั้งแปรงกวาด ควรปรับให้แตะกับพื้นผิวเล็กน้อย และขณะที่แปรงกวาดทำงาน บริเวณสัมผัสพื้นผิวควรกว้างประมาณ 25 มม. (1 นิ้ว) ตลอดความยาวของแปรงกวาด (รูป 10)
ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันกับอีกฝั่งของอุปกรณ์
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบที่มั่นคง หลีกเลี่ยงพื้นอ่อนนุ่ม เนื่องจากขาแม่แรงอาจจมและทำให้อุปกรณ์พลิกคว่ำได้
ดับเครื่องยนต์และดึงกุญแจออก รอให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่ง และรอให้อุปกรณ์เย็นลงก่อนการปรับหรือการทำความสะอาด
อย่าปลดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วงบนเนิน หรือโดยไม่ได้ใช้แม่แรงหน้า
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขาตั้งแม่แรงและถังกรวยอยู่ในตำแหน่งลงก่อนปลดอุปกรณ์
ขณะปลดอุปกรณ์ ให้ขัดล้อทุกครั้งเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่
ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงก่อนจัดเก็บอุปกรณ์ในที่ปิด
อย่าจัดเก็บอุปกรณ์หรือภาชนะบรรจุน้ำมันในที่ที่มีเปลวไฟ ประกายไฟ หรือไฟนำร่อง เช่น บนเครื่องทำน้ำร้อน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
ดูแลรักษาให้ชิ้นส่วนทั้งหมดของอุปกรณ์มีสภาพดีและทำงานได้ตามปกติ และขันชิ้นส่วนทั้งหมดให้แน่นหนา
เปลี่ยนสติกเกอร์ที่สึกหรอ ชำรุด หรือหายไป
หลังการกวาด ควรทำความสะอาดและล้างอุปกรณ์ให้สะอาด ผึ่งถังกรวยให้แห้ง หลังจากการทำความสะอาด ให้ตรวจสอบอุปกรณ์เพื่อเช็คความเสียหายของส่วนประกอบเชิงกลและเครื่องเป่า
Important: เมื่อต้องลากอุปกรณ์เป็นระยะทางไกล ควรรัดแขนล้อเกจเข้ากับโครงอุปกรณ์ให้แน่นหนาด้วยตะขอขนย้าย การปล่อยให้แขนล้อเกจตกลงพื้นอาจทำให้อุปกรณ์ชำรุดได้
ก่อนเริ่มกวาด สำรวจพื้นที่เพื่อประเมินเส้นทางกวาดที่ดีที่สุด
Note: เพื่อให้อุปกรณ์วิ่งเป็นเส้นตรงขณะกวาด คอยสังเกตวัตถุบนพื้นข้างหน้า
พยายามกวาดเป็นระยะทางยาวต่อเนื่องกัน โดยให้มีการซ้อนทับเส้นทางเดิมเล็กน้อยเมื่อแล่นกลับ
บนพื้นสนาม พวงแปรง Flex Tip จะกวาดกิ่งไม้ เศษหญ้า ใบไม้ ใบสนและลูกไม้ เศษวัสดุขนาดเล็ก (กระป๋องเครื่องดื่ม ขวดขนาดเล็ก แผ่นกระดาษ ฯลฯ)
ซี่คราดประกอบด้วยซี่ไนลอนที่มีความยืดหยุ่นและถอดเปลี่ยนได้ง่าย และเมื่อกวาดไปเจอกับสิ่งกีดขวางแข็งๆ การดีดตัวจะช่วยป้องกันไม่ให้คราดได้รับความเสียหาย โดยซี่ไนลอนจะไม่ทำให้ทองสัมฤทธิ์ หินทำเครื่องหมาย ทางเดิน หรือฟุตบาทเป็นรอย
ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร อุปกรณ์ยังใช้ตกแต่งสนามได้ด้วย พวงแปรง Flex Tip จะหวีและยกหญ้าขึ้นเพื่อให้ตัดหญ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะใช้ทำความสะอาด อุปกรณ์จะกรีดลงบนสนามเบาๆ ซึ่งช่วยเพิ่มการแทรกซึมของน้ำและสารกำจัดศัตรูพืช จึงลดภาระในการบูรณะสนามได้
Important: อย่าเลี้ยวหักศอกขณะใช้พวงแทชชิงเพื่อป้องกันไม่ให้สนามหญ้าเสียหาย
Important: อย่าใช้งานอุปกรณ์ในขณะที่พวงแปรงกำลังหมุนและอยู่ในตำแหน่งยกขึ้น หากซี่ไนลอนสัมผัสกับล้อยาง อาจทำให้คราดและล้อยางเสียหายได้
หากต้องการถ่ายถังกรวย ให้ดึงสายโยงหางท้าย
Important: ดูขั้นตอนการบำรุงรักษาเพิ่มเติมได้จากคู่มือสำหรับเจ้าของเครื่องยนต์
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 50 ชั่วโมงแรก |
|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
ทุก 600 ชั่วโมง |
|
ก่อนจัดเก็บ |
|
ก่อนการซ่อมบำรุงหรือปรับอุปกรณ์ ให้ถอดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วง ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่ง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ถ่ายถังกรวยให้หมด และขัดล้อก่อนถอดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วง
ทำตามคำแนะนำการบำรุงรักษาที่อธิบายไว้ในคู่มือฉบับนี้เท่านั้น หากต้องซ่อมบำรุงครั้งใหญ่หรือต้องการความช่วยเหลือ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาต
หนุนอุปกรณ์ด้วยบล็อกหรือขาตั้งแม่แรงขณะทำงานอยู่ข้างใต้
อย่าใช้ระบบไฮดรอลิกของรถลากพ่วงรองรับอุปกรณ์ขณะทำงานอยู่ใต้อุปกรณ์
ติดตั้งแผงกั้นทั้งหมดให้เข้าที่ และปิดกระโปรงอุปกรณ์ให้แน่นหนาหลังจากบำรุงรักษาหรือปรับอุปกรณ์แล้ว
อย่าให้ผู้ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมซ่อมบำรุงอุปกรณ์
ใช้ขาตั้งแม่แรงรองรับอุปกรณ์หรือส่วนประกอบเมื่อจำเป็น
ค่อยๆ ปล่อยแรงดันจากส่วนประกอบที่มีพลังงานสะสมเก็บไว้
อย่าชาร์จแบตเตอรี่ขณะซ่อมบำรุงอุปกรณ์
ลดโอกาสการเกิดเพลิงไหม้ โดยดูแลไม่ให้บริเวณเครื่องยนต์มีน้ำมัน หญ้า ใบไม้ หรือดินสะสมมากเกินไป
หากเป็นไปได้ อย่าบำรุงรักษาในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน อยู่ห่างจากชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
หากคุณต้องปรับแต่งบำรุงรักษาในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานอยู่ ให้เก็บมือ เท้า เสื้อผ้า และส่วนต่างๆ ของร่างกายออกห่างจากชิ้นส่วนเคลื่อนไหว กันผู้ที่อยู่รอบข้างให้ออกห่างจากอุปกรณ์
ทำความสะอาดน้ำมันและเชื้อเพลิงที่หกออกให้หมด
ดูแลรักษาให้ชิ้นส่วนทั้งหมดมีสภาพดีและทำงานได้ตามปกติ และขันชิ้นส่วนทั้งหมดให้แน่นหนา เปลี่ยนสติกเกอร์ทั้งหมดที่สึกหรอหรือชำรุด
อย่าดัดแปลงฟังก์ชันการทำงานที่ออกแบบมาของอุปกรณ์นิรภัย หรือลดทอนการป้องกันของอุปกรณ์นิรภัย และตรวจสอบเป็นประจำว่าอุปกรณ์ทำงานตามปกติ
อย่าทำให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินไปโดยเปลี่ยนการตั้งค่ากัฟเวอร์เนอร์ เพื่อความปลอดภัยและความแม่นยำ ควรให้ตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบรอบเครื่องยนต์สูงสุดด้วยมาตรอัตรารอบ
หากอุปกรณ์ต้องซ่อมบำรุงครั้งใหญ่หรือต้องการความช่วยเหลือ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาต
การดัดแปลงอุปกรณ์นี้ไม่ว่าในลักษณะใดๆ ก็ตามอาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน สมรรถนะ ความทนทานของอุปกรณ์ หรือการใช้อุปกรณ์อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การใช้งานดังกล่าวอาจทำให้การรับประกันผลิตภัณฑ์ของบริษัท Toro® เป็นโมฆะ
การปลดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วงอาจทำให้อุปกรณ์หงายไปข้างหลัง ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
ระบายถังกรวยให้ว่างเปล่าก่อนจะปลดอุปกรณ์ออกจากรถลากพ่วง
จอดรถลากพ่วงและอุปกรณ์บนพื้นราบ และเข้าเบรกจอด
ดับเครื่องยนต์รถลากพ่วงและดึงกุญแจออก
ดับเครื่องยนต์ของอุปกรณ์ รอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่ง แล้วดึงกุญแจออก
ขัดล้อของอุปกรณ์
ปลดสลักแล้วหมุนแม่แรงลงที่พื้น เรียงรูให้ตรงและติดตั้งสลัก
ลดแม่แรงลงมาที่พื้นเพื่อให้อุปกรณ์มั่นคง
Important: จัดเก็บอุปกรณ์บนขาตั้งแม่แรงบนพื้นราบที่มั่นคง เพื่อไม่ให้จมหรือพลิกคว่ำ
ยกอุปกรณ์ด้วยแม่แรงและถอดสลักออกจากข้อต่อพ่วง
เลื่อนรถลากพ่วงออกห่างจากอุปกรณ์
เก็บหมุดสลักและสลักข้อต่อพ่วงไว้ในลิ้นข้อต่อพ่วงของอุปกรณ์
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
อุปกรณ์นี้มีจุดอัดจาระบีที่คุณต้องหล่อลื่นด้วยจาระบีลิเธียมหมายเลข 2 เป็นประจำ หล่อลื่นแบริ่งทุกครั้งหลังล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำ การใช้งานในสภาวะที่มีฝุ่นและสกปรกอาจทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปในแบริ่งและบุชชิ่ง ส่งผลให้การสึกหรอรวดเร็วขึ้น จุดอัดจาระบีที่คุณต้องหล่อลื่น ได้แก่ แบริ่งล้อเกจ, แบริ่งเพลาพวงแปรง, แบริ่งเพลาใบพัด, แบริ่งเพลาแม่แรง และแขนลากพ่วงซ้ายและขวา
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
ตรวจสอบตัวเรือนระบบกรองอากาศเพื่อหาความเสียหายที่อาจทำให้อากาศรั่วไหลได้ เปลี่ยนตัวเรือนระบบกรองอากาศหากชำรุดเสียหาย ตรวจสอบระบบอากาศเข้าทั้งหมดเพื่อหาการรั่วไหล ความเสียหาย หรือข้อรัดท่ออ่อนที่หลวม
ปลดสลักที่ยึดฝาครอบกรองอากาศเข้ากับตัวเรือนระบบกรองอากาศ แยกฝาครอบออกจากตัวเรือน (รูป 14)
ทำความสะอาดด้านในของฝาครอบกรองอากาศด้วยการเป่าลม
ค่อยๆ เลื่อนไส้กรองขั้นต้นออกจากตัวเรือนระบบกรองอากาศ (รูป 14)
Note: ระวังไม่ให้ไส้กรองชนกับด้านข้างของตัวเรือน
ถอดไส้กรองนิรภัยเฉพาะเมื่อคุณตั้งใจจะเปลี่ยนเท่านั้น
Important: อย่าทำความสะอาดไส้กรองนิรภัย หากไส้กรองนิรภัยสกปรก แสดงว่าไส้กรองขั้นต้นชำรุด ให้เปลี่ยนไส้กรองทั้งสอง
ตรวจสอบไส้กรองขั้นต้นเพื่อหาความเสียหาย โดยตรวจดูด้านในไส้กรองขณะส่องกับแสงสว่างที่ด้านนอกของไส้กรอง รูในไส้กรองจะปรากฏเป็นจุดแสง หากไส้กรองเสียหาย ให้ทิ้งไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
หากไส้กรองอากาศขั้นต้นสกปรก หักงอ หรือชำรุด ให้เปลี่ยน
อย่าทำความสะอาดไส้กรองอากาศขั้นต้น
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 600 ชั่วโมง |
|
Important: อย่าทำความสะอาดไส้กรองอากาศนิรภัย หากไส้กรองอากาศนิรภัยสกปรก แสดงว่าไส้กรองขั้นต้นชำรุด ให้เปลี่ยนไส้กรองทั้งสอง
Important: เพื่อป้องกันเครื่องยนต์เสียหาย ควรใช้งานเครื่องยนต์ที่มีไส้กรองอากาศทั้งสองชั้นและฝาครอบติดตั้งเสมอ
ขณะติดตั้งไส้กรองชิ้นใหม่ ควรตรวจสอบไส้กรองแต่ละชิ้นว่ามีความเสียหายจากการขนส่งหรือไม่ อย่าใช้ไส้กรองที่ชำรุด
ใช้ความระมัดระวังในการเลื่อนไส้กรองนิรภัยเข้าในตัวเรือนไส้กรอง (รูป 14)
ค่อยๆ เลื่อนไส้กรองขั้นต้นทับไส้กรองนิรภัย (รูป 14)
Note: ไส้กรองขั้นต้นจะต้องดันเข้าจนสุด โดยออกแรงกดที่ขอบด้านนอกของไส้กรองขณะติดตั้ง
Important: อย่ากดบริเวณที่นิ่มของไส้กรอง
ทำความสะอาดช่องไล่ฝุ่นที่ในฝาครอบที่ถอดออกได้ ถอดวาล์วช่องระบายยางออกจากฝาครอบ เช็ดทำความสะอาดร่อง และเปลี่ยนวาล์วช่องระบาย
ติดตั้งฝาครอบระบบกรองอากาศโดยให้ด้านที่ระบุว่าหันขึ้นหันขึ้นด้านบน และยึดสลักให้แน่นหนา (รูป 14)
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 50 ชั่วโมงแรก |
|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
Note: เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองให้บ่อยขึ้น หากใช้งานอุปกรณ์ในสภาวะที่มีฝุ่นหรือทรายมาก
ประเภทน้ำมัน: น้ำมันชะล้าง (API service SJ, SK, SL ขึ้นไป)
ความจุห้องข้อเหวี่ยง: เมื่อมีไส้กรอง 1.9 ลิตร (2 แกลลอนสหรัฐ)
สตาร์ทเครื่องยนต์และปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 5 นาที เพื่อให้น้ำมันอุ่นและระบายได้ดีขึ้น
จอดอุปกรณ์โดยให้ฝั่งระบายอยู่ต่ำกว่าอีกฝั่งเล็กน้อย เพื่อให้สามารถระบายน้ำมันออกมาจนหมด
เข้าเบรกจอดของรถลากพ่วง ดับเครื่องยนต์อุปกรณ์ และดึงกุญแจออก
วางอ่างไว้ใต้ช่องระบายน้ำมัน เปิดจุกระบายน้ำมันเพื่อให้น้ำมันระบายออกมา (รูป 15)
เมื่อน้ำมันระบายออกจนหมดแล้ว ให้ใส่จุกกลับเข้าไป
Note: ทิ้งน้ำมันใช้แล้ว ณ ศูนย์รีไซเคิลที่มีการรับรอง
วางอ่างตื้นๆ หรือผ้าขี้ริ้วไว้ในตัวกรองเพื่อรับน้ำมัน
ถอดตัวกรองเก่าออกและเช็ดพื้นผิวของปะเก็นอะแดปเตอร์ตัวกรอง
เทน้ำมันใหม่ผ่านรูตรงกลางของตัวกรอง และหยุดเทเมื่อน้ำมันขึ้นมาถึงด้านล่างของเกลียว
รอ 1 หรือ 2 นาทีให้วัสดุตัวกรองซึมซับน้ำมัน จากนั้นเทน้ำมันที่เหลือออก
ทาน้ำมันใหม่เป็นชั้นบางๆ ที่ปะเก็นยางบนตัวกรองที่จะเปลี่ยน
ติดตั้งตัวกรองที่จะเปลี่ยนเข้าไปในอะแดปเตอร์ตัวกรอง หมุนตัวกรองน้ำมันตามเข็มนาฬิกาจนกว่าปะเก็นยางจะสัมผัสกับอะแดปเตอร์ตัวกรอง จากนั้นขันตัวกรองเพิ่มอีก ½ รอบ อย่าขันแน่นเกินไป
ตรวจสอบระดับน้ำมัน
ค่อยๆ เติมน้ำมันเพิ่มเพื่อให้ถึงขีดเต็มบนก้านวัด
ติดตั้งฝาเติมเข้าที่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
ตรวจสอบว่าระยะห่างเขี้ยวระหว่างตรงกลางกับเขี้ยวหัวเทียนถูกต้องก่อนจะติดตั้งหัวเทียนแต่ละตัว ใช้ประแจหัวเทียนในการถอดและติดตั้งหัวเทียน และเครื่องมือวัดช่องว่าง/ฟีลเลอร์เกจเพื่อตรวจสอบและปรับระยะห่างเขี้ยว ติดตั้งหัวเทียนอันใหม่ ถ้าจำเป็น
ประเภท: Champion RC12YC หรือเทียบเท่า ระยะห่างเขี้ยว: 0.75 มม. (0.03 นิ้ว)
ดึงสายไฟออกจากหัวเทียน
ทำความสะอาดรอบๆ หัวเทียน
ถอดทั้งหัวเทียนและแหวนโลหะออก
ดูที่ตรงกลางของหัวเทียนทั้งสองตัว (รูป 16) หากคุณเห็นจุดสีน้ำตาลหรือสีเทาบนฉนวน แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานถูกต้อง คราบสีดำบนฉนวนมักแสดงว่าระบบกรองอากาศสกปรก
Important: อย่าทำความสะอาดหัวเทียน เปลี่ยนหัวเทียนเสมอเมื่อเห็นคราบสีดำ เขี้ยวหัวเทียนสึกหรอ และฟิล์มน้ำมัน หรือรอยแตก
ตรวจสอบช่องว่างระหว่างตรงกลางกับเขี้ยวหัวเทียน (รูป 16)
งอเขี้ยวหัวเทียน (รูป 16) หากช่องว่างไม่ถูกต้อง
หมุนหัวเทียนเข้าในรูหัวเทียน
ขันหัวเทียนจนได้แรงบิด 27 นิวตันเมตร (20 ฟุตปอนด์)
ดันสายไฟเข้าไปบนหัวเทียน
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
เพื่อให้ระบบหล่อเย็นทำงานถูกต้อง ควรรักษาความสะอาดของตะแกรงกันหญ้า ครีบระบายความร้อน และพื้นผิวของเครื่องยนต์อยู่เสมอ
ถอดตัวเรือนเครื่องเป่าและฝาครอบระบบหล่อเย็นอื่น ๆ ทำความสะอาดครีบระบายความร้อนและพื้นผิวภายนอกถ้าจำเป็น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฝาครอบระบบหล่อเย็นติดตั้งเข้าที่ก่อนใช้งาน
Note: การใช้งานเครื่องยนต์ที่ตะแกรงกันหญ้าอุดตัน สกปรก หรือครีบระบายความร้อนอุดตัน หรือถอดฝาครอบระบบหล่อเย็นออก ส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหายเนื่องจากความร้อนสูงเกินไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 600 ชั่วโมง |
|
Important: อย่าติดตั้งไส้กรองที่สกปรกหลังจากถอดออกจากท่อเชื้อเพลิง
ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลง
วางภาชนะสะอาดใต้ตัวกรองเชื้อเพลิง (รูป 17)
คลายข้อรัดที่ยึดตัวกรองเชื้อเพลิงเข้ากับท่อเชื้อเพลิง
ถอดตัวกรองออกจากท่อเชื้อเพลิง
ติดตั้งตัวกรองใหม่เข้ากับท่อเชื้อเพลิงด้วยข้อรัดที่ถอดออกมาก่อนหน้านี้ ติดตังตัวกรองโดยให้ลูกศรชี้เข้าหาคาร์บูเรเตอร์
เช็ดน้ำมันที่หก
ขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่ทำให้เกิดก๊าซที่อาจระเบิดได้
ห้ามสูบบุหรี่ใกล้แบตเตอรี่และ อย่านำประกายไฟและเปลวไฟเข้าใกล้แบตเตอรี่โดยเด็ดขาด
ขั้วแบตเตอรี่หรือเครื่องมือโลหะอาจลัดวงจรกับส่วนประกอบโลหะของรถลากพ่วงหรืออุปกรณ์ ทำให้เกิดประกายไฟได้ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
เมื่อถอดหรือติดตั้งแบตเตอรี่ อย่าให้ขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
อย่าให้เครื่องมือโลหะลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่กับส่วนโลหะใดๆ
การเดินสายไฟแบตเตอรี่ไม่ถูกต้องอาจทำให้อุปกรณ์และสายไฟเสียหาย โดยทำให้เกิดประกายไฟ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
ถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ก่อนถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เสมอ
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ก่อนต่อสายไฟขั้วลบ (สีดำ) เสมอ
ปลดสลักและเปิดฝาครอบช่องวางแบตเตอรี่
ยกแบตเตอรี่ออกจากช่องวางแบตเตอรี่
ทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่
ต่อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ 3-4 แอมป์เข้ากับเสาแบตเตอรี่ ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกำลัง 3 ถึง 4 แอมป์เป็นเวลา 4 ถึง 8 ชั่วโมง
เมื่อชาร์จแบตเตอรี่แล้ว ถอดเครื่องชาร์จออกจากเต้ารับไฟฟ้าและเสาแบตเตอรี่
สอดแบตเตอรี่เข้าในถาดในช่องวางแบตเตอรี่ วางแบตเตอรี่โดยให้ขั้วแบตเตอรี่อยู่ด้านใน
ต่อสายไฟขั้วบวก (สายสีแดงจากสวิตช์สตาร์ท) เข้ากับขั้วบวก (+)
ต่อสายไฟขั้วลบ (สายสีดำจากบล็อกเครื่องยนต์) เข้ากับขั้วลบ (–) ของแบตเตอรี่
Important: ตรวจดูให้แน่ใจว่าสายแบตเตอรี่และคันเลือกความเร็วมีระยะห่างระหว่างกัน ตรวจสอบว่าคันเลือกความเร็วไม่เคลื่อนเข้าใกล้สายแบตเตอรี่ในระยะ 2.5 ซม. (1 นิ้ว) เมื่อขยับเต็มที่ อย่าต่อหรือติดเทปสายแบตเตอรี่ขั้วลบกับขั้วบวกเข้าด้วยกัน
เคลือบปิโตรเลียมเจลลี่บนขั้วแบตเตอรี่และตัวยึดเพื่อป้องกันการสึกหรอ
ติดตั้งฝาครอบแบตเตอรี่และยึดให้แน่นด้วยสปริง
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
สายไฟแบตเตอรี่ต้องยึดกับขั้วแน่นหนา เพื่อให้ขั้วไฟฟ้าสัมผัสกันดี
การเดินสายไฟแบตเตอรี่ไม่ถูกต้องอาจทำให้อุปกรณ์และสายไฟเสียหาย โดยทำให้เกิดประกายไฟ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
ถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ก่อนถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เสมอ
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ก่อนต่อสายไฟขั้วลบ (สีดำ) เสมอ
หากขั้วสึกกร่อน ให้ถอดสายไฟ (สายขั้วลบ (-) ออกก่อน) และขูดข้อรัดและขั้วออกแยกกัน ต่อสายไฟ (สายขั้วบวก (+) ก่อน) และเคลือบขั้วด้วยปิโตรเลียมเจลลี่
ขั้วแบตเตอรี่หรือเครื่องมือโลหะอาจลัดวงจรกับส่วนประกอบรถลากพ่วงที่เป็นโลหะ และทำให้เกิดประกายไฟได้ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
เมื่อถอดหรือติดตั้งแบตเตอรี่ อย่าให้ขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
อย่าให้เครื่องมือโลหะลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
รักษาแรงดันลมยางของล้อหน้าและล้อหลังไว้ที่ 1.93 บาร์ (28 ปอนด์ต่อตร.นิ้ว) ตรวจสอบแรงดันที่ก้านวาล์ว (รูป 18) ก่อนใช้งานแต่ละครั้ง
อุปกรณ์ที่อยู่บนแม่แรงอาจไม่มั่นคงและเลื่อนหลุดจากแม่แรง และทำให้ผู้ที่อยู่ด้านล่างบาดเจ็บ
ห้ามสตาร์ทอุปกรณ์ขณะที่อุปกรณ์อยู่บนแม่แรง
ดึงกุญแจออกจากสวิตช์ก่อนลุกออกจากอุปกรณ์
บล็อกล้อเมื่ออุปกรณ์อยู่บนแม่แรง
Important: ใช้แม่แรงไฮดรอลิกที่รองรับได้ 900 กก. (2,000 ปอนด์) ขณะเปลี่ยนล้อ
โปรดวางแม่แรงไว้ใต้โครงหรือเพลาท้ายหลังล้อ และโยกแม่แรงยกล้อขึ้นจนเพียงแค่แตะพื้น
คลายสลักล็อกล้อทุกตัวแล้วยกอุปกรณ์ขึ้นต่อไปจนกว่าคุณจะถอดล้อออกได้
ทำขั้นตอนข้างต้นย้อนกลับเพื่อติดตั้งล้อ
ขันสลักล็อกล้อจนได้แรงบิด 95 ถึง 122 นิวตันเมตร (70 ถึง 90 ฟุตปอนด์)
โปรดดู การเตรียมอุปกรณ์สำหรับการบำรุงรักษา
Note: ไม่จำเป็นต้องถอดแผงกั้นสายพานบนออก (รูป 19) เพื่อตรวจสอบความตีงสายพาน หากคุณถอดแผงกั้นสายพาน ให้ถอดสลักเกลียว แหวน และน็อต 4 ชุดที่ยึดแผงกั้นเข้ากับโครง อย่าใช้งานอุปกรณ์โดยไม่ได้ติดตั้งแผงกั้นเข้าที่
ตรวจสอบความตึงโดยการกดสายพานตรงกลางความกว้างของลูกรอกใบพัดและลูกรอกคลัตช์ด้วยแรง 18 ถึง 22 นิวตัน (4 ถึง 5 ปอนด์) สายพานควรเบน 1.3 ซม. (1/2 นิ้ว) หากการเบนไม่ถูกต้อง โปรดดู การปรับสายพานขับใบพัด หากการเบนถูกต้อง สามารถใช้งานต่อตามปกติ (รูป 19)
ตรวจสอบความตึงโดยการกดสายพานตรงกลางความกว้างของลูกรอกเพลาแม่แรงและลูกรอกคลัตช์ด้วยแรง 18 ถึง 22 นิวตัน (4 ถึง 5 ปอนด์) สายพานควรเบน 6 มม. (1/4 นิ้ว) หากการเบนไม่ถูกต้อง โปรดดู การปรับสายพานเพลาแม่แรง หากการเบนถูกต้อง สามารถใช้งานต่อตามปกติ (รูป 19)
ตรวจสอบความตึงโดยการกดสายพานตรงกลางความกว้างของลูกรอกรองสายพานและลูกรอกขับพวงแปรงด้วยแรง 111 ถึง 129 นิวตัน (25 ถึง 29 ปอนด์) สายพานควรเบน 6 มม. (1/4 นิ้ว) หากการเบนไม่ถูกต้อง โปรดดู การปรับสายพานขับพวงแปรง หากการเบนถูกต้อง สามารถใช้งานต่อตามปกติ
คลายสลักเกลียวยึดเครื่องยนต์ (รูป 21)
คลายน็อตสวมทับและหมุนสลักปรับสายพานจนกว่าจะได้ความตึงสายพานที่ต้องการ (รูป 22)
ขันสลักเกลียวยึดเครื่องยนต์เล็กน้อย
ปรับเครื่องยนต์ให้ขนานกับโครง ขันสลักเกลียวยึดเครื่องยนต์ต่อ (รูป 22)
เมื่อคุณปรับสายพานใบพัด ให้ปรับสายพานเพลาแม่แรงด้วย โปรดดู การตรวจสอบสายพานเพลาแม่แรง
ถอดสลักเกลียว แหวน และน็อต 4 ชุดที่ยึดฝาครอบด้านบนเข้ากับโครงออก (รูป 19)
ถอดน็อตและสลักเกลียวที่ยึดโครงยึดลูกรอกรองสายพานเข้ากับโครงยึดปรับความตึง (รูป 23)
กดลูกรอกรองสายพานลงจนกว่าจะได้ความตึงที่ต้องการ และรูในโครงยึดลูกรอกรองสายพานและโครงยึดปรับความตึงตรงกัน
ติดตั้งสลักเกลียวและน็อตเพื่อยึดการปรับให้แน่น
ติดตั้งฝาครอบด้านบน
ถอดน็อตและสลักเกลียวที่ยึดโครงยึดลูกรอกรองสายพาน (สลักเกลียวที่อยู่ในร่องรูในโครงยึด) เข้ากับโครงยึดปรับความตึง (รูป 24)
กดลูกรอกรองสายพานลงจนกว่าจะได้ความตึงที่ต้องการ และรูในโครงยึดลูกรอกรองสายพานและโครงยึดปรับความตึงตรงกัน
ติดตั้งสลักเกลียวและน็อตเพื่อยึดการปรับให้แน่น
เปลี่ยนแผ่นยางเมื่อสึกหรอหรือชำรุด
หากไม่ขัดล้ออาจทำให้อุปกรณ์ไหล ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
เปลี่ยนแผ่นยางบนพื้นราบเท่านั้น และขัดล้อเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ไหล
ถอดสลักเกลียว แหวน และน็อต 10 ชุดบนแผ่นยางและแถบยึดแผ่นยาง (รูป 25)
เปลี่ยนแผ่นยางใหม่ และขันให้แน่นหนา
ถอดสลักเกลียวและแหวนล็อกทีละ 1 ชุด และขันเข้าในรูที่ติดกัน (รูป 26)
หมุนสลักเกลียวแต่ละตัวด้วยจำนวนครั้งที่เท่าๆ กันจนกว่าล็อกจะแยกออก ลูกรอกควรจะเลื่อนหลุดออกจากเพลา
ยกด้านหน้าของอุปกรณ์ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้โดยการตั้งแม่แรง
ยกพวงแปรงขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุด
ถอดแผงกั้นสายพานล่างและสายพานขับพวงแปรง (รูป 24)
ถอดสลักเกลียว แหวนล็อก และน็อต 2 ชุดที่ยึดแบริ่งเพลาพวงแปรงเข้ากับแขนรองรับพวงแปรงที่แต่ละฝั่งของอุปกรณ์ วางพวงแปรง Flex Tip ลงกับพื้น
ยกแขนรองรับพวงแปรงขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุด
เลื่อนปลายของคราดไปด้านหลัง และดึงออกจากด้านใต้อุปกรณ์
ถอดสลักเกลียวและแหวนล็อกออกจากปลายด้าน 1 ของก้านคราด (รูป 27)
ถอดน็อตล็อกเฉพาะจากปลายฝั่งตรงข้ามของก้านคราดเท่านั้น
ดันก้านคราดออกจากแผ่นปลาย ดันก้านออกจากปลายที่ไม่มีแท็บเชื่อมติดอยู่
ถอดแผ่นฟิงเกอร์หรือก้านออกตามต้องการและเปลี่ยน
เรียงแผ่นฟิงเกอร์เข้าก้านและดันก้านกลับผ่านแผ่นปลาย
ติดสลักเกลียว น็อตล็อก และเกี่ยวสปริง
ถอดแถบยึดง่ามและเลื่อนง่ามออก (รูป 28)
งอง่ามอันใหม่ตรงกลางและเลื่อนเข้าที่
วางโครงยึดง่ามไว้เหนือปลายโค้งของง่าม และขันให้แน่นด้วยสลักเกลียวและแหวนล็อก
การทำความสะอาดตัวเรือนเครื่องเป่าขณะที่ใบพัดกำลังหมุนอาจส่งผลให้มือไปโดยใบพัดที่กำลังหมุน ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
ดับเครื่องยนต์ ถอดกุญแจ และรอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่งก่อนจะทำความสะอาดเศษวัสดุออกจากตัวเรือนเครื่องเป่า
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใบพัดหยุดหมุนก่อนถอดแผงซ่อมบำรุง
คลายน็อตมีปีก 2 ตัวที่ยึดแผงซ่อมบำรุงอยู่ (รูป 31)
เปิดแผงซ่อมบำรุงไปทางด้านหนึ่ง เพื่อให้หยิบเศษวัสดุออกได้ง่าย
หลังจากทำความสะอาดเศษวัสดุเสร็จแล้ว ลดแผงซ่อมบำรุงลง และยึดด้วยน็อตมีปีก ทำซ้ำขั้นตอนนี้กับแผงซ่อมบำรุงอื่นๆ
จัดเก็บอุปกรณ์ในพื้นที่จัดเก็บหรือโรงรถที่แห้งและสะอาด
ล้างเศษหญ้า ดิน และคราบสกปรกออกจากชิ้นส่วนภายนอกของอุปกรณ์ทั้งคัน โดยเฉพาะครีบหัวกระบอกสูบของเครื่องยนต์ และตัวเรือนเครื่องเป่า
Important: คุณสามารถล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ และน้ำ อย่าใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันล้างอุปกรณ์ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมากเกินไป โดยเฉพาะในบริเวณใกล้ส่วนเครื่องยนต์
Note: ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานด้วยการเดินรอบสูง 2 ถึง 5 นาทีหลังล้าง
ซ่อมบำรุงระบบกรองอากาศ โปรดดู การซ่อมบำรุงระบบกรองอากาศ
เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง โปรดดู การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตัวกรองน้ำมันเครื่อง
ตรวจสอบแรงดันลมยาง โปรดดู การตรวจสอบแรงดันลมยาง
เปลี่ยนง่ามหรือแปรงครึ่งวงที่ชำรุด โปรดดู การเปลี่ยนง่ามคราด Flex Tip หรือ การเปลี่ยนแปรงครึ่งวงกลม
ถอดสายไฟหัวเทียน โปรดดู การซ่อมบำรุงหัวเทียน
ถอดหัวเทียนออกมาตรวจสอบสภาพ
เมื่อถอดหัวเทียนออกจากเครื่องยนต์แล้ว เทน้ำมันเครื่อง 2 ช้อนโต๊ะลงในรูหัวเทียนแต่ละรู และใช้สตาร์ทเตอร์กระตุกเครื่องยนต์เพื่อแจกจ่ายน้ำมันเข้าไปภายในกระบอกสูบ
ติดตั้งหัวเทียน แต่ไม่ต้องติดตั้งสายไฟบนหัวเทียน
ขันอุปกรณ์ยึดทั้งหมดให้แน่นหนา ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดเสียหายหรือหายไป
พ่นละอองน้ำมันบางๆ บนแบริ่งหัวเจาะ (ก้านโยงข้อเหวี่ยงและแดมเปอร์)
ซ่อมสีรอยขีดข่วนและพื้นผิวที่เปิดถึงโลหะทั้งหมด สีสามารถซื้อได้จากตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาต
คลุมอุปกรณ์เพื่อป้องกันและรักษาความสะอาด
หากคุณจัดเก็บอุปกรณ์ไว้นานกว่า 30 วัน ให้เตรียมการดังนี้:
เติมสารคงสภาพ/ปรับสภาพชนิดปิโตรเลียมลงในเชื้อเพลิงในถัง ทำตามขั้นตอนการผสมของผู้ผลิตสารคงสภาพ
Important: อย่าใช้สารคงสภาพชนิดแอลกอฮอล์ (เอทานอลหรือเมทานอล)
Note: สารคงสภาพ/ปรับสภาพเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อผสมกับเชื้อเพลิงใหม่และใช้ตลอดเวลา
ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 5 นาที เพื่อให้จ่ายเชื้อเพลิงที่ผสมสารคงสภาพกระจายไปทั่วระบบเชื้อเพลิง
ดับเครื่องยนต์ ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็น ระบายน้ำมันออกจากถังเชื้อเพลิง
สตาร์ทเครื่องยนต์ และปล่อยไว้จนเครื่องยนต์ดับไปเอง
โช้คเครื่องยนต์ สตาร์ทและปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานจนกว่าจะไม่สตาร์ทอีก
รีไซเคิลและทิ้งน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายท้องถิ่น
Important: อย่าจัดเก็บเชื้อเพลิงที่ผสมสารคงสภาพ/ปรับสภาพไว้นานว่าระยะเวลาที่ผู้ผลิตสารคงสภาพเชื้อเพลิงแนะนำ
ถอดขั้วแบตเตอรี่จากเสาแบตเตอรี่และยกแบตเตอรี่ออกจากอุปกรณ์
ทำความสะอาดแบตเตอรี่ ขั้ว และเสาด้วยแปรงลวดและส่วนผสมเบกกิ้งโซดา
เคลือบจาระบีหรือโตรเลียมเจลลี่ลงบนขั้วและเสาแบตเตอรี่เพื่อป้องกันการสึกหรอ
ชาร์จแบตเตอรี่อย่างช้าๆ ทุกๆ 60 วันนาน 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เกิดตะกั่วซัลเฟต
ขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่ทำให้เกิดก๊าซที่อาจระเบิดได้
ห้ามสูบบุหรี่ใกล้แบตเตอรี่และอย่านำประกายไฟและเปลวไฟเข้าใกล้แบตเตอรี่โดยเด็ดขาด
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่ชาร์จเต็มเพื่อป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม ความถ่วงจำเพาะของแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มคือ 1.26 ถึง 1.30
จัดเก็บแบตเตอรี่ไว้บนชั้นวางหรือในอุปกรณ์ หากเก็บไว้ในอุปกรณ์ ให้ถอดสายไฟออก จัดเก็บแบตเตอรี่ในสถานที่เย็น เพื่อไม่ให้ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่คลายเร็ว