ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
อุปกรณ์นี้ควบคุมโดยการเดินลากและออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการมืออาชีพที่ต้องการนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ เหมาะสำหรับการเติมอากาศพื้นที่ขนาดใหญ่ในสนามที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีในสวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ สนามกีฬา และพื้นที่เชิงพาณิชย์เป็นหลัก การใช้งานผลิตภัณฑ์นี้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อาจเป็นอันตรายต่อคุณและคนรอบข้างได้
กรุณาอ่านเอกสารนี้อย่างละเอียดเพื่อศึกษาวิธีควบคุมและบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม และเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บและความเสียหายต่อผลิตภัณฑ์ คุณมีหน้าที่ใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องและปลอดภัย
โปรดเข้าไปที่เว็บไซต์ www.Toro.com เพื่อดูเอกสารความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และเอกสารฝึกอบรมการใช้งาน ข้อมูลอุปกรณ์เสริม ความช่วยเหลือเพื่อค้นหาตัวแทนจำหน่าย หรือลงทะเบียนผลิตภัณฑ์
หากคุณต้องการการซ่อมบำรุง อะไหล่แท้ของ Toro หรือข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อตัวแทนบริการที่ได้รับอนุญาตหรือฝ่ายบริการลูกค้าของ Toro และเตรียมหมายเลขรุ่นและหมายเลขซีเรียลของผลิตภัณฑ์ไว้ให้พร้อม รูป 1 หาตำแหน่งของหมายเลขรุ่นและหมายเลขซีเรียลบนผลิตภัณฑ์ จดบันทึกหมายเลขในช่องว่างที่กำหนดให้
Important: นอกจากนี้ คุณสามารถใช้มือถือสแกนรหัส QR บนป้ายหมายเลขซีเรียลได้ (ถ้ามี) เพื่อเข้าถึงข้อมูลการรับประกัน อะไหล่ และข้อมูลอื่นๆ ของผลิตภัณฑ์
คู่มือฉบับนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และระบุข้อความความปลอดภัยที่แสดงด้วยสัญลักษณ์เตือนอันตราย (รูป 2) ซึ่งบ่งบอกอันตรายที่อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงหรือเสียชีวิตหากคุณไม่ปฏิบัติตามข้อควรระวังที่แนะนำ
คู่มือฉบับนี้ใช้คำ 2 คำในการเน้นข้อมูล สำคัญ เพื่อให้คุณใส่ใจศึกษาข้อมูลพิเศษเกี่ยวกับกลไกและ หมายเหตุ เพื่อเน้นข้อมูลทั่วไปที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ผลิตภัณฑ์นี้ได้มาตรฐานตามคำสั่งยุโรปทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูเอกสารรับรองมาตรฐาน (DOC) เฉพาะของผลิตภัณฑ์แยกต่างหาก
เนื่องจากบางพื้นที่มีกฎระเบียบของท้องถิ่น รัฐ หรือรัฐบาลกลางที่กำหนดให้เครื่องยนต์ของอุปกรณ์นี้ต้องติดตั้งเครื่องดักสะเก็ดไฟ เราจึงมีเครื่องดักสะเก็ดไฟจำหน่ายเป็นอุปกรณ์เสริมด้วย หากคุณต้องการเครื่องดักสะเก็ดไฟ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาต เครื่องดักสะเก็ดไฟของแท้จาก Toro ผ่านการอนุมัติจาก USDA Forestry Service
คู่มือเจ้าของเครื่องยนต์ที่แนบมาจัดทำขึ้นมาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าด้วยการควบคุมการปล่อยมลพิษของระบบไอเสีย การบำรุงรักษา และการรับประกัน อะไหล่ทดแทนสามารถสั่งซื้อได้จากผู้ผลิตเครื่องยนต์
แคลิฟอร์เนีย
คำเตือนข้อเสนอ 65
ไอเสียเครื่องยนต์จากผลิตภัณฑ์นี้มีสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิด หรืออันตรายต่อระบบสืบพันธุ์อื่นๆ
แท่นแบตเตอรี่ ขั้วแบตเตอรี่ และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องมีตะกั่วและสารประกอบตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง และเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ ล้างมือหลังจากหยิบจับ
ผลิตภัณฑ์นี้อาจทำให้คนบาดเจ็บได้ ดังนั้น ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยทั้งหมดอยู่เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บร้ายแรง
อ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาของคู่มือผู้ใช้ฉบับนี้ก่อนจะสตาร์ทเครื่อง
โปรดมีสมาธิขณะควบคุมเครื่องจักร อย่าทำกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิ มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้
อย่านำมือหรือเท้าเข้าใกล้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวของเครื่องจักร
หากไม่ได้ติดตั้งแผงกั้นและอุปกรณ์นิรภัยอื่นๆ ทั้งหมดบนอุปกรณ์ หรือแผงกั้นและอุปกรณ์นิรภัยทำงานผิดปกติ กรุณาอย่าใช้อุปกรณ์
กันคนโดยรอบออกห่างจากอุปกรณ์ขณะเคลื่อนที่
ดูแลไม่ให้มีอะไรมาขวางกั้นช่องระบาย กันคนโดยรอบและสัตว์เลี้ยงออกห่างจากอุปกรณ์
กันเด็กๆ ออกจากพื้นที่ทำงาน ห้ามเด็กใช้งานอุปกรณ์โดยเด็ดขาด
หยุดอุปกรณ์ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ ดึงกุญแจออก และรอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่งก่อนจะซ่อมบำรุง หรือแก้ไขการอุดตันของอุปกรณ์
การใช้งานหรือบำรุงรักษาอย่างไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยและสังเกตสัญลักษณ์เตือนอันตราย ได้แก่ ข้อควรระวัง คำเตือน หรืออันตราย ซึ่งเป็นคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคล การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อาจส่งผลให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
ป้ายและคำแนะนำด้านความปลอดภัยมองเห็นได้ชัดเจน และติดอยู่ใกล้กับบริเวณที่มีโอกาสเกิดอันตราย เปลี่ยนป้ายที่เสียหายหรือหายไป |
Note: ด้านหน้าของอุปกรณ์อยู่ตรงมือจับของผู้ใช้งานและเป็นตำแหน่งใช้งานตามปกติ ด้านซ้ายและด้านขวาขึ้นอยู่กับทิศทางในการใช้งานอุปกรณ์ เนื่องจากคุณจะต้องเดินลากอุปกรณ์ตามหลัง
Note: หากต้องการยกหัวเดือยขึ้นหลังจากนำอุปกรณ์ออกจากกล่อง ให้สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วกดปุ่ม "รีเซ็ต" โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมในการสตาร์ทเครื่องยนต์ และการรีเซ็ตวงจรควบคุมระบบ
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
ชุดล้อ | 2 |
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
น็อตล็อค (1/2 นิ้ว) | 3 |
ตัวนำสายเคเบิล | 1 |
สลักเกลียว (5/16 x 1/2 นิ้ว) | 2 |
หมุนมือจับอย่างระมัดระวังไปด้านหน้าของอุปกรณ์ ระวังอย่าทำให้สายเคเบิลเสียหาย
สอดหมุดติดตั้งมือจับลงในรูบนก้ามปู (รูป 4)
ใช้น็อตล็อค (1/2 นิ้ว) 3 ตัวในการยึดหมุดเข้ากับก้ามปู (รูป 4)
สอดตัวนำสายเคเบิลรอบสายเคเบิล
ติดตั้งตัวนำสายเคเบิลเข้ากับด้านบนของก้ามปู (รูป 4) โดยใช้สลักเกลียว 2 ตัว (5/16 x 1/2 นิ้ว)
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
สลักล็อค | 2 |
สลักเกลียวปล่อย | 2 |
แหวนจักรใน | 2 |
หากคุณกำลังเตรียมอุปกรณ์นี้เพื่อใช้งานในสหภาพยุโรป (CE) ให้ติดตั้งฝาครอบด้านท้ายดังต่อไปนี้เพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบ CE
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
เหล็กแลนยาร์ด | 1 |
หมุดรีเวท | 1 |
สลักเกลียว (1/4 x 1 นิ้ว) | 1 |
น็อตล็อค (1/4 นิ้ว) | 1 |
หากคุณกำลังเตรียมอุปกรณ์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน CE ให้ติดตั้งฝาครอบตามขั้นตอนต่อไปนี้
มองหารูบนฝาครอบสายพานที่อยู่ถัดจากคันสลัก (รูป 6 และ รูป 7)
ใช้รูบนฝาครอบสายพานติดตั้งชุดแลนยาร์ดด้วยหมุดรีเวท (รูป 7)
ขันสลักเกลียวเข้ากับคันสลัก (รูป 8)
ชิ้นส่วนที่ต้องใช้สำหรับขั้นตอนนี้:
ป้าย CE | 1 |
ป้ายบอกปีที่ผลิต | 1 |
หลังจากจัดเตรียมอุปกรณ์ตามข้อกำหนด CE ที่จำเป็นครบถ้วนแล้ว ให้ติดป้าย CE และป้ายบอกปีที่ผลิตลงบนขาของก้ามปู (รูป 9)
แผงยึดเดือยเจาะ แผงป้องกันสนาม และเดือยเจาะสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มีหลายแบบให้เลือก ให้ติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์เสริมที่เหมาะกับการใช้งานตามที่อธิบายใน การติดตั้งแผงยึดเดือยเจาะ แผงป้องกันสนาม และเดือยเจาะ
ชาร์จแบตเตอรี่ก่อนใช้งานครั้งแรก โปรดดู การชาร์จแบตเตอรี่
ทำความคุ้นเคยกับการควบคุมทั้งหมดก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์และใช้งานอุปกรณ์
หากต้องการเดินหน้า ให้ขยับคันควบคุมการขับเคลื่อนไปข้างหน้า หากต้องการถอยหลัง ให้ขยับคันควบคุมการขับเคลื่อนไปข้างหลัง (รูป 11)
ยิ่งขยับคันควบคุมการขับเคลื่อนไปไกลเท่าไหร่ อุปกรณ์ก็จะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเท่านั้น
หากต้องการหยุดอุปกรณ์ ให้ปล่อยคันควบคุมการขับเคลื่อน
Important: ดึงเบรกมือทุกครั้งเมื่อคุณจอดอุปกรณ์หรือทิ้งไว้โดยไม่มีผู้ดูแล
หากต้องการดึงเบรกมือ ให้ดึงคันเบรกมือเข้าหามือจับของผู้ใช้งาน (รูป 11)
Note: คุณอาจจะต้องขยับอุปกรณ์เดินหน้าหรือถอยหลังเล็กน้อยขณะเข้าเบรกมือ
หากต้องการปลดเบรกมือ ให้ผลักคันเบรกมือออกห่างจากมือจับของผู้ใช้งาน
Note: คุณอาจจะต้องขยับอุปกรณ์เดินหน้าหรือถอยหลังเล็กน้อยขณะปลดเบรกมือ
ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องจะติดขึ้นมา (รูป 11) หากแรงดันน้ำมันเครื่องตกลงต่ำกว่าระดับที่ปลอดภัย หากแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ ให้ดับเครื่องยนต์และประเมินหาสาเหตุ แล้วซ่อมแซมความเสียหายให้เรียบร้อยก่อนสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง
ยกขึ้น—กดส่วนบนของสวิตช์ (รูป 11) เพื่อยกหัวเดือยขึ้นและเลิกใช้หัวเดือย เครื่องยนต์จะต้องทำงานเพื่อสร้างแรงดันในการยก หากหัวเดือยอยู่ต่ำกว่าความสูงในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ โปรดดู การรีเซ็ตวงจรควบคุมระบบ
ยกลง/ใช้งาน—กดส่วนล่างของสวิตช์ (รูป 11) เพื่อลดระดับหัวเจาะลงมาและใช้งานหัวเจาะ คันควบคุมการขับเคลื่อนจะต้องอยู่ในตำแหน่งเดินหน้าเพื่อเปิดใช้งานสวิตช์
หัวเดือยที่กำลังทำงานอาจทำให้มือและเท้าบาดเจ็บได้
โปรดดูแลให้มือและเท้าออกห่างจากหัวเจาะ และก่อนจะลดระดับหัวเดือยลงมา ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางอยู่ในบริเวณที่จะใช้งานหัวเดือย
หากต้องการลดระดับหัวเดือยลงโดยไม่ใช้งาน ให้บิดกุญแจสตาร์ทไปยังตำแหน่ง ทำงาน (โดยไม่ต้องเดินเครื่อง) จากนั้นขยับคันบังคับการขับเคลื่อนไปยังตำแหน่งเดินหน้า แล้วกดส่วนล่างของสวิตช์
ใช้สวิตช์สตาร์ท (รูป 12) เพื่อสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ สวิตช์ประกอบด้วยย 3 ตำแหน่ง:
สตาร์ท—บิดกุญแจตามเข็มนาฬิกาไปยังตำแหน่งสตาร์ท เพื่อทำให้มอเตอร์สตาร์ททำงาน
ทำงาน—เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ท ให้ปล่อยกุญแจ จากนั้นกุญแจจะเคลื่อนไปยังตำแหน่งเปิดโดยอัตโนมัติ
ปิด—บิดกุญแจทวนเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่ง ปิดเพื่อดับเครื่องยนต์
ดันคันบังคับระยะห่างของรูเจาะ (รูป 12) ไปยังระยะห่างของรูเจาะที่ต้องการ หรือไปยังตำแหน่ง T เพื่อเคลื่อนย้ายอุปกรณ์
ใช้คันโยกลิ้นเร่ง (รูป 12) ควบคุมความเร็วเครื่องยนต์ การดันคันโยกลิ้นเร่งไปด้านหน้าเป็นการเพิ่มความเร็วของเครื่องยนต์ (ตำแหน่งเร็ว) ส่วนการดันมาด้านหลังจะเป็นการลดความเร็วเครื่องยนต์ลง (ตำแหน่งช้า) ซึ่งความเร็วเครื่องยนต์จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของหัวเดือย รวมทั้งควบคุมความเร็วในการขับเคลื่อนบนพื้นของอุปกรณ์ด้วย
เมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงาน มิเตอร์นับชั่วโมง/มาตรอัตรารอบ (รูป 12) จะแสดงจำนวนชั่วโมงที่เครื่องยนต์ทำงาน
ขณะเครื่องยนต์ทำงาน มิเตอร์นับชั่วโมง/มาตรอัตรารอบจะแสดงความเร็วเครื่องยนต์ โดยมีหน่วยเป็นรอบต่อนาที (rpm)
มิเตอร์นับชั่วโมง/มาตรอัตรารอบจะแสดงข้อความเดือนเกี่ยวกับการบำรุงรักษาดังต่อไปนี้:
หลังจากใช้งานครบ 50 ชั่วโมงแรกและทุกๆ 100 ชั่วโมง (เช่น 150, 250, 350 ฯลฯ) หลังจากนั้น หน้าจอจะแสดงข้อความ "CHG OIL" เพื่อเตือนให้คุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
หลังจากใช้งานทุกๆ 100 ชั่วโมง (เช่น 100, 200, 300 ฯลฯ) หน้าจอแสดงข้อความ "SVC" เพื่อเตือนให้คุณทำการบำรุงรักษาอย่างอื่นตามกำหนดการบำรุงรักษาเมื่อใช้งานครบ 100, 200 หรือ 500 ชั่วโมง
Note: ข้อความเตือนเหล่านี้จะปรากฏบนหน้าจอ โดยตอนแรกจะแสดง 3 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาซ่อมบำรุงตามรอบ และจะกะพริบเป็นจังหวะสม่ำเสมอกันเป็นเวลา 6 ชั่วโมง
ใช้โช้คเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์เย็น (รูป 12)
หมุนสวิตช์ไปยังตำแหน่งลงเพื่อปิดฟีเจอร์ TrueCore (รูป 12) ถอดสลักเกลียวออกเพื่อเข้าถึงสวิตช์ปรับระดับตามพื้นดินด้วยตัวเอง
กดสวิตช์รีเซ็ตระบบ (รูป 12) เพื่อยกหัวเดือยขึ้น หากพบว่าอุปกรณ์ไม่ทำงาน (เช่น เชื้อเพลิงหมด)
ใช้วาล์วตัดการจ่ายเชื้อเพลิงในการควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงจากถังน้ำมัน (รูป 13)
เลื่อนคันควบคุมไปยังความลึกในการเติมอากาศที่ต้องการ (รูป 14)
Note: ข้อมูลจำเพาะและการออกแบบอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ
ความกว้าง | 127 ซม. (50.1 นิ้ว) |
ฐานล้อ | 113 ซม. (44.5 นิ้ว) |
ความกว้างช่วงล้อ | 97 ซม. (38.3 นิ้ว) |
ความกว้างในการเจาะ | 122 ซม. (48 นิ้ว) |
ความยาว | 265 ซม. (104.5 นิ้ว) |
ความสูงของส่วนหัว (ยกขึ้น) | 114 ซม. (45 นิ้ว) |
ความสูงของส่วนหัว (ยกลง) | 93 ซม. (36 1/2 นิ้ว) |
ความสูง มือจับ | 104 ซม. (41 นิ้ว) |
ความสูงจากพื้น | 12 ซม. (4.8 นิ้ว) |
ความเร็วเดินหน้า | 0 ถึง 6 กม./ชม. (0 ถึง 3-1/2 ไมล์ต่อชม.) |
ความเร็วถอยหลัง | 0 ถึง 3 กม./ชม. (0 ถึง 2 ไมล์ต่อชม.) |
น้ำหนักสุทธิ | 721 กก. (1,590 ปอนด์) |
เราจัดจำหน่ายอุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์เสริมที่ Toro รับรองมากมายสำหรับใช้กับอุปกรณ์ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายความสามารถ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาต หรือเข้าไปที่ www.Toro.com เพื่อดูรายการอุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์เสริมที่รับรองทั้งหมด
เพื่อสมรรถนะสูงสุดและความปลอดภัยในการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โปรดใช้เฉพาะอะไหล่ทดแทนและอุปกรณ์เสริมของแท้จาก Toro อะไหล่ทดแทนและอุปกรณ์เสริมที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายอื่นอาจเป็นอันตราย และการใช้งานดังกล่าวอาจทำให้การรับประกันผลิตภัณฑ์เป็นโมฆะ
โปรดไปที่ตารางรูปแบบการใช้งานเดือยเจาะด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับหัวเดือย แผงป้องกันสนาม และเดือยเจาะ
คำอธิบายหัวเดือย | ระยะห่างหัวเดือย | ขนาดก้าน | จำนวนเดือยเจาะ | ชนิดแผงป้องกันสนาม (จำนวน) |
---|---|---|---|---|
หัวเดือยขนาดเล็ก 2x5 | 41 มม. (1.60 นิ้ว) | 9.5 มม. (3/8 นิ้ว) | 60 | 5 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
5 เดือยเจาะ—ยาว (1) | ||||
หัวเดือยขนาดเล็ก 1x6 | 32 มม. (1.25 นิ้ว) | 9.5 มม. (3/8 นิ้ว) | 36 | 6 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
6 เดือยเจาะ—ยาว (1) | ||||
3 หัวเดือย (7/8 นิ้ว) | 66 มม. (2.60 นิ้ว) | 22.2 มม. (7/8 นิ้ว) | 18 | 3 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
3 เดือยเจาะ—ยาว (1) | ||||
3 หัวเดือย (3/4 นิ้ว) | 66 มม. (2.60 นิ้ว) | 19.5 มม. (3/4 นิ้ว) | 18 | 3 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
3 เดือยเจาะ—ยาว (1) | ||||
4 หัวเดือย (3/4 นิ้ว) | 51 มม. (2.00 นิ้ว) | 19.5 มม. (3/4 นิ้ว) | 24 | 4 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
4 เดือยเจาะ—ยาว (1) | ||||
5 หัวเดือยแบบเข็ม | 41 มม. (1.60 นิ้ว) | — | 30 | 5 เดือยเจาะ—สั้น (2) |
5 เดือยเจาะ—ยาว (1) |
Note: ดูด้านซ้ายและขวาของอุปกรณ์จากตำแหน่งปกติในการควบคุมอุปกรณ์
ห้ามมิให้เด็กหรือผู้ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมใช้งานหรือซ่อมบำรุงอุปกรณ์โดยเด็ดขาด กฎหมายท้องถิ่นอาจจำกัดอายุของผู้ขับขี่ เจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการฝึกอบรมให้กับผู้ควบคุมและช่างซ่อมบำรุง
ทำความคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์อย่างปลอดภัย ระบบควบคุมของผู้ขับขี่ และป้ายความปลอดภัย
เรียนรู้วิธีหยุดและดับเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว
ตรวจสอบว่าส่วนควบคุมตรวจจับผู้ปฏิบัติงาน สวิตช์ความปลอดภัย และแผงกั้นทั้งหมดมีติดตั้งไว้และทำงานถูกต้อง ใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ที่ทำงานได้อย่างถูกต้องเท่านั้น
ก่อนการใช้งาน ควรตรวจสอบอุปกรณ์ทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเดือยเจาะอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และเปลี่ยนเดือยเจาะที่สึกหรอหรือชำรุด
ตรวจสอบบริเวณที่คุณวางแผนว่าจะใช้อุปกรณ์ และเคลื่อนย้ายวัตถุทั้งหมดที่อุปกรณ์อาจชนได้
มองหาและทำเครื่องหมายตำแหน่งของสายไฟและสายเคเบิลของระบบสื่อสารทั้งหมด วัสดุอุปกรณ์ระบบจ่ายน้ำ และสิ่งกีดขวางอื่นๆ ในบริเวณที่จะเติมอากาศ นำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายออก ถ้าทำได้ หรือวางแผนวิธีหลีกเลี่ยง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดึงเบรกมือ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งก่อนจะลุกออกจากอุปกรณ์
โปรดใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อจัดการกับน้ำมัน น้ำมันเป็นวัตถุติดไฟได้และละอองน้ำมันอาจระเบิดได้
ดับบุหรี่ ซิการ์ ไปป์ และแหล่งจุดไฟอื่นๆ ให้หมด
อย่าเปิดฝาถังน้ำมันหรือเติมถังน้ำมันในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงานหรือร้อนอยู่
อย่าเติมหรือระบายน้ำมันในพื้นที่อับ
อย่าจัดเก็บอุปกรณ์หรือภาชนะบรรจุน้ำมันในที่ที่มีเปลวไฟ ประกายไฟ หรือไฟนำร่อง เช่น บนเครื่องทำน้ำร้อน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
หากน้ำมันหก อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ หลีกเลี่ยงการสร้างแหล่งจุดไฟจนกว่าละอองน้ำมันจะระเหยไป
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วที่ใหม่และสะอาด (อายุไม่เกิน 30 วัน) และมีค่าออกเทน 87 ขึ้นไป (วิธีการคิด (R+M)/2)
เอทานอล: น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกิน 10% (แก๊สโซฮอล) หรือ MTBE (เมทิลเทอเทียรีบิวทิลอีเธอร์) 15% โดยปริมาตร เอทานอลและ MTBE ไม่เหมือนกัน ห้ามใช้น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอล 15% (E15) โดยปริมาตร ห้ามใช้น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเอทานอลมากกว่า 10% โดยปริมาตร เช่น E15 (มีเอทานอล 15%), E20 (มีเอทานอล 20%), E85 (มีเอทานอล 85%) การใช้น้ำมันเบนซินที่ไม่ได้รับการรับรองอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสมรรถนะของอุปกรณ์และ/หรือทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ซึ่งการรับประกันอาจจะไม่คุ้มครอง
ห้ามใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเมทานอล
ห้ามเก็บเชื้อเพลิงไว้ในภาชนะหรือถังเชื้อเพลิงในช่วงฤดูหนาว เว้นแต่มีการใส่สารคงสภาพ
ห้ามผสมน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเชื้อเพลิง
Important: ห้ามใช้สารเติมแต่งน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นใด นอกจากสารปรับสภาพ/สารคงสภาพเชื้อเพลิง ห้ามใช้สารคงสภาพเชื้อเพลิงชนิดแอลกอฮอล์ เช่น เอทานอล, เมทานอล หรือไอโซโพรพานอล
Important: ห้ามใช้เมทานอล น้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของเมทานอล หรือแก๊สโซฮอลที่มีส่วนผสมของเอทานอลเกิน 10% เพราะอาจทำให้ระบบเชื้อเพลิงเสียหายได้ ห้ามผสมน้ำมันเครื่องกับน้ำมันเชื้อเพลิง
ความจุถังน้ำมัน: 26.5 ลิตร (7 แกลลอนสหรัฐ)
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ทำความสะอาดรอบๆ ฝาถังน้ำมัน และเปิดออกมา (รูป 15)
เติมน้ำมันลงในถังจนกระทั่งระดับน้ำมันอยู่ใต้ช่องเติมเชื้อเพลิง 6-13 มม. (1/4-1/2 นิ้ว)
Important: พื้นที่ในถังนี้เผื่อไว้ให้น้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัว อย่าเติมน้ำมันมากเกินไป
ปิดฝาถังน้ำมันให้แน่น
เช็ดน้ำมันที่หก
ก่อนสตาร์ทเครื่องในแต่ละวัน ให้ทำการตรวจเช็คประจำวันดังต่อไปนี้
หากสวิตช์อินเตอร์ล็อคนิรภัยขาดหรือชำรุด อุปกรณ์อาจทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
อย่าแก้ไขดัดแปลงสวิตช์อินเตอร์ล็อค
ตรวจสอบการทำงานของสวิตช์อินเตอร์ล็อคเป็นประจำทุกวัน และเปลี่ยนสวิตช์ที่เสียหายก่อนการใช้งานอุปกรณ์
ระบบอินเตอร์ล็อคนิรภัยป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์สตาร์ท ยกเว้นกรณีที่คันควบคุมการขับเคลื่อนอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ถ้าเครื่องยนต์ทำงานอยู่ ให้ดับเครื่อง
สตาร์ทเครื่องพร้อมกับดันคันควบคุมการขับเคลื่อนไปด้านหน้าหรือด้านหลังค้างไว้
ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์
ดันคันควบคุมการขับเคลื่อนไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง และสตาร์ทเครื่องยนต์
เคลื่อนย้ายอุปกรณ์เข้าไปในสนาม
เข้าเกียร์ PTO และลดระดับหัวเดือยลงมา
ปล่อยคันควบคุมการขับเคลื่อนหรือดันไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง
หัวเดือยควรจะยกขึ้นหรือหยุดหมุน
หากระบบนิรภัยไม่ทำงานตามที่อธิบายไว้ข้างต้น ควรเรียกตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาตมาซ่อมแซมระบบนิรภัยทันที
เจ้าของ/ผู้ควบคุมสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ และยังเป็นผู้รับผิดชอบอุบัติเหตุที่อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินด้วย
สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันดวงตา กางเกงขายาว รองเท้ากันลื่นที่แน่นหนา และอุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน ถ้าผมยาวให้มัดไปข้างหลังและอย่าสวมใส่เสื้อผ้าหลวมหรือเครื่องประดับที่ยาวย้วย
อย่าใช้งานอุปกรณ์ขณะป่วย เหนื่อยล้า หรืออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด
ห้ามนำอุปกรณ์ไปขนส่งผู้โดยสาร กันคนโดยรอบและสัตว์เลี้ยงออกห่างจากอุปกรณ์ขณะทำงาน
ใช้งานอุปกรณ์เฉพาะเมื่อมีทัศนวิสัยที่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงหลุมบ่อหรืออันตรายที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
ดูแลให้มือและเท้าออกห่างจากเดือยเจาะ
มองไปข้างหลังและมองลงด้านล่างก่อนถอยอุปกรณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางโล่ง
หยุดอุปกรณ์ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก รอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่ง และตรวจสอบเดือยเจาะหลังจากชนวัตถุ หรือตรวจดูว่าอุปกรณ์สั่นผิดปกติหรือไม่ ซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดก่อนกลับไปใช้งานต่อ
ดูแลให้แรงดันล้ออยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ
ลดความเร็วขณะขับเคลื่อนบนถนนหรือพื้นผิวที่ขรุขระ
ทางลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียการควบคุมและอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงและการเสียชีวิตได้ คุณต้องดูแลรับผิดชอบความปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์บนพื้นลาดเอียง การใช้งานอุปกรณ์บนพื้นลาดเอียงต้องใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ประเมินสภาพสถานที่เพื่อพิจารณาว่าทางลาดปลอดภัยสำหรับการใช้งานอุปกรณ์หรือไม่ รวมทั้งสำรวจสถานที่ ใช้เหตุและผลและวิจารณญาณที่ดีขณะสำรวจ
ตรวจสอบคำแนะนำสำหรับการใช้งานอุปกรณ์บนทางลาดด้านล่าง และตรวจสอบสภาพพื้นที่อีกครั้งเพื่อพิจารณาว่าคุณสามารถใช้งานอุปกรณ์ในบริเวณดังกล่าวในสภาวะการทำงานของวันนั้นได้หรือไม่ สภาพเส้นทางที่เปลี่ยนแปลงไปอาจจะส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์บนพื้นลาดได้
หลีกเลี่ยงการสตาร์ท จอด หรือเลี้ยวอุปกรณ์บนทางลาด หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนความเร็วหรือทิศทางกะทันหัน ควรหักเลี้ยวช้า ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่าใช้งานอุปกรณ์ในสภาวะที่แรงยึดเกาะ การเลี้ยว หรือความเสถียรของอุปกรณ์ไม่แน่นอน
เคลื่อนย้ายหรือทำสัญลักษณ์สิ่งกีดขวาง เช่น หลุมบ่อ แอ่ง เนิน หิน หรืออันตรายอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ เพราะหญ้าสูงอาจทำให้มองไม่เห็นสิ่งกีดขวาง ทางที่ไม่ราบเรียบอาจทำให้อุปกรณ์พลิกคว่ำได้
การใช้งานบนหญ้าเปียก บนพื้นลาด หรือบนเนิน อาจส่งผลให้อุปกรณ์สูญเสียการควบคุมได้ ล้อขับที่สูญเสียแรงลาก อาจส่งผลให้เกิดการไถล และไม่สามารถเบรกหรือเลี้ยวได้
ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อใช้งานอุปกรณ์ใกล้ทางชัน คลอง ทำนบ อันตรายจากน้ำ หรืออันตรายอื่นๆ อุปกรณ์จากพลิกคว่ำฉับพลันได้ หากล้อไต่ขอบหรือขอบลาดลง ดังนั้นควรเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างอุปกรณ์จากและอันตรายต่างๆ มาอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
ปล่อยคันควบคุมการขับเคลื่อนและดึงเบรกมือ
ใช้โช้คตามคำแนะนำต่อไปนี้
ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์เย็น ให้เลื่อนคันโยกส่วนควบคุมโช้คไปยังตำแหน่ง เปิด
เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอุ่นหรือร้อน คุณไม่จำเป็นต้องใช้โช้คก็ได้
ดันคันโยกลิ้นเร่งไปที่ตำแหน่ง เร็ว ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์เย็น
บิดกุญแจสตาร์ทเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ หลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทแล้ว ให้ปล่อยกุญแจ
Important: ห้ามสตาร์ทเครื่องนานเกิน 10 วินาทีในแต่ละครั้ง หากเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด ควรรอให้เครื่องยนต์เย็นลงสัก 30 วินาทีก่อนสตาร์ทใหม่ การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อาจทำให้มอเตอร์สตาร์ทไหม้ได้
หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ดันส่วนควบคุมโช้คไปที่ตำแหน่งปิด หากเครื่องยนต์ดับหรือสตาร์ทติดยาก ให้ดันโช้คกลับมาที่ตำแหน่งเปิดสักสองสามวินาที จากนั้นดันคันโยกลิ้นเร่งไปยังการตั้งค่าที่ต้องการ ทำซ้ำตามที่จำเป็น
ปรับคันโยกลิ้นเร่งไปยังตำแหน่งช้า
ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินรอบเบา 60 วินาที
บิดกุญแจสตาร์ทไปยังตำแหน่งปิดและดึงกุญแจออก
ปิดวาล์วตัดการจ่ายเชื้อเพลิงก่อนเคลื่อนย้ายหรือจัดเก็บอุปกรณ์
Important: ปิดวาล์วตัดการจ่ายเชื้อเพลิงก่อนเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ด้วยรถลากพ่วงหรือจัดเก็บอุปกรณ์ ดึงเบรกมือไว้ก่อนจะเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ ดึงกุญแจออกเพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มเชื้อเพลิงทำงาน และเป็นสาเหตุให้สิ้นเปลืองประจุแบตเตอรี่
เด็กๆ หรือผู้ที่อยู่รอบข้างอาจได้รับบาดเจ็บหากพยายามจะขยับหรือใช้งานอุปกรณ์ที่จอดทิ้งไว้โดยไม่มีผู้ดูแล
ดังนั้นให้ดึงกุญแจสตาร์ทออกเสมอ และดึงเบรกมือเมื่อต้องจอดอุปกรณ์ทิ้งไว้โดยไม่มีผู้ดูแล แม้เพียงไม่กี่นาทีก็ตาม
สตาร์ทเครื่องยนต์
ปลดเบรกมือ
ตรวจสอบเส้นทางที่วางแผนว่าจะใช้งานอุปกรณ์เพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากอุปสรรคกีดขวาง
ดันคันควบคุมการขับเคลื่อนลงเพื่อบังคับอุปกรณ์เดินหน้า
เดินไปข้างหน้าขณะใช้งานอุปกรณ์ ห้ามหันหลังขณะเดินใช้งานอุปกรณ์
เข้าเกียร์ PTO และลดระดับหัวเดือยลงมา
ปลดเกียร์ PTO และยกหัวเดือยขึ้น
หากต้องการหยุดอุปกรณ์ ให้ปล่อยคันควบคุมการขับเคลื่อน
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
เลือกเดือยเจาะที่เหมาะกับการใช้งาน
วางเดือยเจาะบนป้ายแสดงระดับความลึก (รูป 16) โดยให้ปลายเดือยหนึ่งตรงกับระดับความลึกในการเติมอากาศที่ต้องการ (โปรดดูแผ่นโอเวอร์เลย์ที่อยู่บนป้าย)
ตรวจสอบค่าตัวอักษรที่ตรงกับปลายอีกด้านหนึ่งของเดือยเจาะและเลื่อนคันควบคุมความลึกไปยังค่าตัวอักษรที่ตรงกัน
Note: เมื่อเดือยเจาะสึกหรอลงเรื่อยๆ คุณสามารถรีเซ็ตการตั้งค่าความลึกให้เหมาะกับการสึกหรอของเดือยเจาะได้ ตัวอย่างเช่น หากการตั้งค่าความลึกของเดือยเจาะใหม่ทำให้คุณได้ค่าตัวอักษรเป็น G คุณจะรีเซ็ตเป็นค่า H ได้เมื่อเดือยเจาะสึกหรอไป 6 มม. (1/4 นิ้ว)
จัดแนวการเติมอากาศโดยใช้ตัวช่วยจัดแนว (รูป 17)
ใส่สลักซ่อมบำรุงก่อนจะทำการซ่อมบำรุงหัวเดือย หรือเมื่อต้องจัดเก็บอุปกรณ์ไว้นานกว่าสองหรือสามวัน
หากยกหัวเดือยขึ้นโดยไม่ได้ใส่สลักยึดไว้ หัวเดือยอาจจะตกลงมาอย่างกะทันหัน ทำให้คุณหรือผู้ที่อยู่รอบข้างบาดเจ็บได้
เมื่อคุณต้องซ่อมบำรุงหัวเดือย รวมถึงตอนเปลี่ยนเดือยเจาะหรือแผงป้องกันสนาม ควรใช้สลักซ่อมบำรุงยึดหัวเดือยไว้ในตำแหน่งยกขึ้น
ตัวคั่นสำหรับตั้งค่าความลึกด้วยตัวเองจำเป็นต้องใช้เฉพาะในกรณีที่ระบบปรับระดับตามพื้นดิน TrueCore® ไม่ทำงานเนื่องจากระบบป้อนกลับเสียหาย (แผงป้องกันสนาม เหล็กยึด และชุดแอคชูเอเตอร์) หรือหากคุณต้องการใช้ความลึกในการเจาะมากที่สุด
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ถอดหมุดสลักที่ใช้ยึดตัวคั่นและหมุดปรับความลึกออก (รูป 20)
วางตัวคั่นไว้ด้านบนหรือด้านล่างหูยึดเพื่อให้ได้ความลึกในการเจาะที่ต้องการ
ตัวคั่นแบบหนาจะเพิ่มความลึกได้ 19 มม. (3/4 นิ้ว)
ตัวคั่นแบบบางจะเพิ่มความลึกได้ 9.5 มม. (3/8 นิ้ว)
หากวางตัวคั่นทั้งหมดไว้ด้านบน ค่าความลึกจะเท่ากับ 10.7 ซม. (4-1/4 นิ้ว)
ถอดสลักเกลียวและน็อตล็อคออกจากสวิตช์ตัวเลือก (รูป 21)
หมุนสวิตช์ไปยังตำแหน่งลงเพื่อปิดฟีเจอร์ True Core
ติดตั้งสลักเกลียวและน็อตล็อคเพื่อป้องกันไม่ให้การตั้งค่าเปลี่ยนไปจากเดิมโดยไม่ตั้งใจ
แผงยึดเดือยเจาะ แผงป้องกันสนาม และเดือยเจาะสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มีหลายแบบให้เลือก เลือกองค์ประกอบที่จำเป็นตามตารางอุปกรณ์เสริมในหัวข้ออุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์เสริม
ยกหัวเดือยขึ้นและล็อคไว้ในตำแหน่งด้วยสลักซ่อมบำรุง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ติดตั้งแผงยึดเดือยเจาะเข้ากับแขนเดือยเจาะแต่ละอัน (รูป 22) ด้วยสลักเกลียว (1/2 x 1-1/4 นิ้ว) 3 ตัว ขันสลักจนถึงได้แรงบิด 101.6 นิวตันเมตร (75 นิ้วปอนด์)
Note: สลักเกลียวเป็นชิ้นส่วนที่รวมอยู่ในชุดแผงยึดเดือยเจาะ
ติดตั้งแผงป้องกันสนามเข้ากับโครงยึดแผงป้องกันสนามหลวมๆ โดยใช้ตัวหนีบแผงป้องกันสนาม 4 ตัวและน็อตมีบ่า 12 ตัว (รูป 23) อย่าเพิ่งขันน็อตจนแน่น
Note: ตัวหนีบแผงป้องกันสนามและน็อตมีบ่าติดตั้งอยู่บนโครงยึดแผงป้องกันสนามมาแล้วจากโรงงาน (รูป 23)
ติดตั้งตัวหนีบเดือยเจาะเข้ากับแผงยึดเดือยเจาะแต่ละอัน (รูป 24) ด้วยสลักเกลียว (3/8 x 1-1/2 นิ้ว) 4 ตัว อย่าเพิ่งขันสลักเกลียวจนแน่น
ติดตั้งเดือยเจาะเข้ากับแผงยึดเดือยเจาะหมายเลข 2 และ 5 (รูป 25) แล้วขันสลักเกลียว
ตรวจสอบให้เดือยเจาะอยู่ตรงกลางของช่องว่างบนแผงป้องกันสนาม (รูป 26) ปรับแผงป้องกันสนามตามที่จำเป็น แล้วขันน็อตให้แน่น
ติดตั้งเดือยเจาะที่เหลือเข้ากับตัวแผงยึดเดือยเจาะหมายเลข 1, 3, 4 และ 6 ขันสลักเกลียวทุกตัวของแผงยึดเดือยเจาะจนได้แรงบิด 40.6 นิวตันเมตร (30 ปอนด์)
โปรดดูภาพประกอบใน การติดตั้งแผงยึดเดือยเจาะ แผงป้องกันสนาม และเดือยเจาะ
ยกหัวเดือยขึ้นและล็อคไว้ในตำแหน่งด้วยสลักซ่อมบำรุง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
คลายสลักเกลียวที่ใช้ยึดแผงยึดเดือยเจาะ แล้วถอดเดือยเจาะอันเก่าออก
ใส่เดือยเจาะอันใหม่เข้าไปในแผงยึดเดือยเจาะ
ขันสลักเกลียวด้วยแรงบิดตามที่แนะนำ
ทำซ้ำขั้นตอนนี้กับแขนส่วนที่เหลือ
อุปกรณ์จะถ่ายโอนน้ำหนักจากรถลากพ่วงไปยังหัวเดือยเพื่อช่วยในการรักษาระดับความลึกของรูเจาะในดินที่มีโครงสร้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม หากดินแข็งมากจนไม่สามารถเจาะเติมอากาศได้เต็มความลึกที่กำหนด หัวเดือยอาจต้องใช้การถ่ายโอนน้ำหนักเพิ่มเติม หากต้องการเพิ่มแรงกดของสปริงถ่ายโอนน้ำหนัก ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
การปลดแผงสปริงอย่างกะทันหันอาจทำให้บาดเจ็บได้
ควรขอให้คนอื่นช่วยปรับสปริงถ่ายโอนน้ำหนัก
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
คลายน็อตหัวกลมคอเหลี่ยมที่ยึดโครงสปริงเข้ากับหัวเดือย (รูป 27) ให้หลวม แต่ไม่ต้องถอดออกมา
สอดเฟืองล้อหรือเบรกเกอร์บาร์ขนาด 1/2 นิ้วลงในช่องสี่เหลี่ยมบนแผงสปริง (รูป 28)
จับเฟืองล้อหรือเบรกเกอรบาร์เอาไว้เพื่อคลายแรงตึงบนแผงสปริง จากนั้นถอดน็อตหัวกลมคอเหลี่ยมด้านหลังออก
หมุนแผงสปริงจนกระทั่งอยู่ในแนวเดียวกับอีกรูหนึ่ง จากนั้นใส่น็อตหัวกลมคอเหลี่ยม แล้วขันน็อต
Note: การหมุนแผงสปริงขึ้นด้านบนจะเป็นการเพิ่มการถ่ายโอนน้ำหนัก
หลังจากเพิ่มการถ่ายโอนน้ำหนักเข้าไป เมื่อคุณเติมอากาศบริเวณดินแข็งมากพอ การถ่ายโอนน้ำหนักอาจจะทำให้ล้อหลังทั้งสองลอยขึ้นจากพื้น ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างรูเจาะไม่สม่ำเสมอกัน
หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คุณสามารถติดตั้งแผ่นน้ำหนักเพิ่มไปยังท่อเพลาของโครงด้านหลังได้ แผ่นน้ำหนักหล่อแต่ละแผ่นจะเพิ่มน้ำหนักให้กับอุปกรณ์ 28.5 กก. (63 ปอนด์) โดยคุณจะติดตั้งแผ่นน้ำหนักได้ไม่เกิน 2 แผ่น โปรดดูหมายเลขอะไหล่จากแค็ตตาล็อกอะไหล่
Important: ห้ามลากจูงอุปกรณ์ด้วยความเร็วกว่า 1.6 กม./ชม. (1 ไมล์ต่อชม.) เพราะอาจทำให้ส่วนประกอบของระบบไฮดรอลิกเสียหายได้
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
หาตำแหน่งของวาล์วบายพาสที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับปั๊มไฮดรอลิก (รูป 29)
ใช้ประแจขนาด 5/8 นิ้ว หมุนวาล์วบายพาสทวนเข็มนาฬิกา 1 รอบ วิธีนี้จะทำให้น้ำมันไฮดรอลิกไหลไปที่ปั๊ม ช่วยให้ล้อหมุนได้ (รูป 29)
Important: อย่าหมุนวาล์วบายพาสมากกว่า 1 รอบ เพื่อป้องกันไม่ให้วาล์วหลุดออกมาจากตัวเรือนและทำให้น้ำมันไหลออกมา
Important: ห้ามเข็น/ลากจูงอุปกรณ์เป็นระยะทางเกินกว่า 30.5 ม. (100 ฟุต) หรือเร็วกว่า 0.6 กม./ชม. (1 ไมล์/ชม.) เพราะอาจทำให้ส่วนประกอบของระบบไฮดรอลิกเสียหายได้
ปลดเบรกมือก่อนเข็น/ลากจูงอุปกรณ์
Important: ห้ามใช้งานอุปกรณ์ขณะเปิดวาล์วบายพาสนานกว่า 10 ถึง 15 วินาที
เมื่อต้องการกลับมาใช้งานอุปกรณ์อีกครั้ง ให้หมุนวาล์วบายพาสตามเข็มนาฬิกา 1 รอบ (รูป 29)
Note: อย่าขันวาล์วบายพาสแน่นเกินไป
Note: คุณต้องปิดวาล์วบายพาสก่อนเพื่อขับเคลื่อนอุปกรณ์ อย่าพยายามใช้งานระบบขับเคลื่อนขณะที่วาล์วบายพาสเปิดอยู่
หากหัวเดือยยังอยู่ในตำแหน่งเติมอากาศ (เพราะเชื้อเพลิงหมด ลืมติดตั้งสลักซ่อมบำรุงสำหรับจัดเก็บ กลไกการทำงานของเครื่องยนต์หรือปั๊มไม่ทำงาน ฯลฯ) ระบบไฟฟ้าที่ควบคุมคอยล์โซเลนอยด์ไฮดรอลิกและคลัตช์ไฟฟ้าจะไม่ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้หัวเดือยเคลื่อนที่โดยไม่ตั้งใจโดยที่ยังไม่มีการรีเซ็ตระบบ
สตาร์ทเครื่องยนต์
กดสวิตช์รีเซ็ตระบบ (รูป 30)
หัวเดือยจะยกขึ้น และวงจรควบคุมทางไฟฟ้าจะรีเซ็ต
Note: หากเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด ให้กระตุกเครื่องยนต์ด้วยสตาร์ทเตอร์พร้อมกับกดสวิตช์รีเซ็ตระบบจนกระทั่งหัวเดือยพ้นจากระดับพื้นดิน
หากเครื่องยนต์ไม่ทำงานหรือสตาร์ทไม่ติดในระหว่างที่หัวเดือยอยู่ในตำแหน่งยกลงและเดือยเจาะค้างอยู่ในดิน ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
ถอดแผงยึดเดือยเจาะออกจากแขนเจาะ
เปิดวาล์วบายพาสโดยหมุน 1 รอบ
ลากจูง/เข็นอุปกรณ์ไปยังบริเวณใกล้ๆ เพื่อซ่อมบำรุงหรือบรรทุกขึ้นรถลากพ่วงต่อไป
Important: ห้ามลากจูง/เข็นอุปกรณ์เป็นระยะทางเกินกว่า 30.5 ม. (100 ฟุต) หรือเร็วกว่า 1.6 กม./ชม. (1 ไมล์/ชม.) เพราะอาจทำให้ระบบไฮดรอลิกเสียหายได้
หากสัมผัสกับสิ่งกีดขวาง อุปกรณ์อาจทำให้คุณเสียการควบคุมได้
คอยระวังสิ่งกีดขวางในพื้นที่ทำงานอยู่เสมอ วางแผนเส้นทางเติมอากาศเพื่อปกป้องทั้งคุณและอุปกรณ์จากสิ่งกีดขวาง
ระหว่างเติมอากาศ ให้ค่อยๆ เลี้ยวอุปกรณ์ ห้ามเลี้ยวหักศอกขณะกำลังใช้งานหัวเดือยอย่างเด็ดขาด วางแผนเส้นทางเติมอากาศให้เรียบร้อยก่อนลดระดับเครื่องเติมอากาศลงมา
คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าทิศทางด้านหน้ามีสิ่งใดอยู่บ้าง หลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์ใกล้กับอาคาร รั้ว และอุปกรณ์อื่นๆ
มองไปด้านหลังบ่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าอุปกรณ์ทำงานได้ตามปกติ และคุณยังอยู่ในแนวการเติมอากาศก่อนหน้า
กำจัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เสียหายออกจากพื้นที่ทำงานให้หมด เช่น เดือยเจาะที่แตกหัก ฯลฯ เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับเครื่องตัดหญ้าหรืออุปกรณ์บำรุงรักษาสนามชนิดอื่นๆ
เปลี่ยนเดือยเจาะที่แตกหักเป็นอันใหม่ ตรวจสอบและซ่อมแซมความเสียหายของอันที่ยังใช้งานได้ รวมทั้งซ่อมความเสียหายอื่นๆ ของอุปกรณ์ก่อนเริ่มใช้งาน
เมื่อเติมอากาศแบบไม่เต็มความกว้างของอุปกรณ์ คุณสามารถถอดเดือยเจาะออก แต่ควรเก็บหัวเดือยเอาไว้บนแขนเจาะเพื่อรักษาสมดุลและทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ตามปกติ
อุปกรณ์นี้เจาะรูเติมอากาศได้ลึกกว่าเครื่องเติมอากาศสนามกรีนส่วนใหญ่ แต่สำหรับสนามกรีนและแท่นทีเก่าหรือที่ยกระดับใหม่ ซึ่งต้องเจาะลึกกว่าและใช้เดือยเจาะกลวงที่ยาวกว่า การดันแกนดินออกมาทั้งหมดอาจจะทำได้ยาก เพราะดินเดิมจะแข็งกว่าและติดอยู่กับปลายของเดือยเจาะ ในกรณีแบบนี้ เดือยเจาะแบบดันแกนดินออกด้านข้างสำหรับสนามกรีน/แท่นทีจาก Toro จะคงความสะอาดได้นานกว่า และช่วยลดเวลาในการทำความสะอาดเดือยเจาะได้เป็นอย่างดี การเติมอากาศและโรยทรายอย่างต่อเนื่องจะสามารถลดความแข็งของดินได้ในที่สุด
หากดินแข็งเกินไปจนไม่สามารถเจาะดินได้ตามความลึกที่ต้องการ หัวเดือยอาจจะกระเด้งกระดอนเป็นระยะๆ เพราะเดือยพยายามจะเจาะผ่านชั้นดินดานลงไป แนะนำให้แก้ไขโดยพยายามทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
อย่าเพิ่งเติมอากาศหากดินแข็งหรือแห้งเกินไป ควรรอหลังจากฝนตกหรือรดน้ำสนามหนึ่งวัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เปลี่ยนมาใช้หัวแบบ 3 เดือยเจาะ หากได้พยายามใช้หัวแบบ 4 เดือยเจาะแล้ว หรือลดจำนวนเดือยเจาะต่อแขนเจาะลง พยายามติดตั้งเดือยเจาะเป็นรูปแบบที่สมมาตรกันเพื่อกระจายน้ำหนักไปยังแขนเจาะเท่าๆ กัน
หากดินอัดแน่นและแข็งมาก ควรลดระดับการเจาะเติมอากาศลง (ค่าความลึก) กำจัดแกนดินออกจากสนาม รดน้ำสนาม แล้วค่อยเติมอากาศอีกครั้งโดยใช้ความลึกมากขึ้น
การเติมอากาศดินประเภทต่างๆ ที่อยู่บนดินชั้นล่าง (กล่าวคือเป็นดิน/ทรายที่ปกคลุมอยู่บนดินที่เต็มไปด้วยหิน) อาจทำให้คุณภาพหลุมไม่เป็นไปตามต้องการ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเจาะเติมอากาศลงไปลึกกว่าระดับดินชั้นบน และดินชั้นล่างแข็งเกินจนเจาะไม่ได้ เมื่อเดือยเจาะสัมผัสกับดินชั้นล่างที่แข็งกว่า อุปกรณ์เติมอากาศอาจจะยกขึ้น และส่งผลให้ด้านบนของรูเจาะยาวกว่าเดิม ดังนั้น ควรปรับลดความลึกในการเติมอากาศอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจาะไปจนถึงชั้นดินแข็งที่อยู่ด้านล่าง
หากอุปกรณ์ให้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ แสดงว่าคุณภาพการเข้า/ออกจากรูเจาะกำลังลดลง
รูเจาะเป็นทางยาว (ลากไปด้านหน้า) ตอนที่เจาะเข้า
หัวเดือยไม่ได้เริ่มทำงานก่อนจะสัมผัสพื้นสนาม
หัวเดือยครูดกับพื้นสนามตอนเจาะเข้า หรือเด้งออกเมื่อเจาะรูเติมอากาศที่ไม่ลึกมาก
ให้ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
อาจจำเป็นต้องปรับสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4 (สวิตช์หมายเลข 4 อยู่บนโครง H) โปรดดู การปรับสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4
อาจจำเป็นต้องปรับสวิตช์ตรวจจับตำแหน่งทำงาน (สวิตช์หมายเลข 3 อยู่บนโครง H) โปรดดู การปรับสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 3
คลัตช์ของอุปกรณ์อาจสึกหรอหรือลื่น โปรดดูคู่มือซ่อมบำรุงของอุปกรณ์
คุณสามารถวางสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4 ได้สองตำแหน่งบนโครงยึดสวิตช์ตรวจจับระยะ ได้แก่ วางไว้ด้านบน หากต้องการตั้งค่าความลึกในการเติมอากาศตั้งแต่ A-D และวางไว้ด้านล่าง หากต้องการตั้งค่าความลึกในการเติมอากาศตั้งแต่ E-H
Note: อุปกรณ์ที่มาจากโรงงานจะมีการวางสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4 ไว้ที่ด้านล่างเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความลึกของรูเจาะตอนเริ่มเจาะ และควรใช้ตำแหน่งนี้สำหรับการเติมอากาศส่วนใหญ่
การเติมอากาศโดยติดตั้งสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4 ไว้ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับการตั้งค่าความลึกในการเจาะอาจทำให้หัวเดือยเด้งออก เจาะลึกเกินไป และ/หรือทำให้ครูดกับสนามได้ ดังนั้น ควรปรับสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 4 โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดึงเบรกมือ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งก่อนจะลุกออกจากอุปกรณ์
ยกคันสลักของฝาครอบขึ้น จากนั้นยกฝาครอบออกจากอุปกรณ์ (รูป 31)
หาตำแหน่งของชุดสวิตช์ตรวจจับระยะบนโครง H (รูป 32)
ติดตั้งสวิตช์หมายเลข 4 ในตำแหน่งที่เหมาะกับความลึกในการเจาะดังที่แสดงใน รูป 32
จัดวางโครงยึดฝาครอบให้ตรงกับตัวติดตั้งฝาครอบบนอุปกรณ์
ประกอบฝาครอบเข้ากับอุปกรณ์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลักยึดฝาครอบไว้แน่นหนาดีแล้ว
ตรวจสอบคุณภาพการเข้า/ออกจากรูเจาะ
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดึงเบรกมือ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งก่อนจะลุกออกจากอุปกรณ์
ยกคันสลักของฝาครอบขึ้น จากนั้นยกฝาครอบออกจากอุปกรณ์ (รูป 31)
ตรวจสอบว่าชุดสวิตช์ตรวจจับระยะ (ด้านนอกของโครง H) อยู่ห่างจากแผงเป้าหมายไม่เกิน 1.5 มม. (0.06 นิ้ว) (รูป 33)
ตรวจสอบว่าสวิตช์ตรวจจับระยะหมายเลข 3 ทำงานอย่างถูกต้อง
ถ้าจำเป็น ให้คลายน็อตล็อคและน็อตหัวกลมคอเหลี่ยมที่ยึดแผงติดตั้งสวิตช์ แล้วยกแผงขึ้นจนถึงตำแหน่งสูงสุด จากนั้นขันน็อตยึดให้แน่นหนารูป 33
Note: การยกสวิตช์ขึ้นจะทำให้คลัตช์ทำงานเร็วขึ้น
ขันน็อตล็อคให้แน่น (รูป 33)
จัดวางโครงยึดฝาครอบให้ตรงกับตัวติดตั้งฝาครอบบนอุปกรณ์
ประกอบฝาครอบเข้ากับอุปกรณ์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลักยึดฝาครอบไว้แน่นหนาดีแล้ว
ตรวจสอบคุณภาพการเข้า/ออกจากรูเจาะ
Important: หากหัวเดือยไม่เริ่มทำงานก่อนเริ่มเจาะและสวิตช์ตรวจจับตำแหน่งติดตั้งไว้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว แสดงว่าคลัตช์อาจจะเสื่อมสภาพจนทำให้เดือยทำงานช้า โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาตหรือดูคู่มือซ่อมบำรุง
เนื่องจากออกแบบมาให้เป็นสองแถว หัวเดือยขนาดเล็กจึงต้องตั้งค่าระยะห่างรูเจาะไว้ที่ 6.3 มม. (2-1/2 นิ้ว) นอกจากนี้ ความเร็วในการขับเคลื่อนบนพื้นยังสำคัญอย่างมากต่อลักษณะของการเว้นระยะห่างระหว่างรูเจาะ 3.2 มม. (1-1/4 นิ้ว) ด้วย โปรดดู การปรับระยะห่างของรูเจาะ หากระยะห่างของรูเจาะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เมื่อใช้หัวเดือยขนาดเล็กหรือเดือยเจาะแบบตันขนาดใหญ่ โครงสร้างรากของสนามหญ้าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้สนามเสียหายเนื่องจากชั้นรากฉีกขาด หาก 2 แขนตรงกลางเริ่มจะดันหญ้าขึ้นมาหรือทำให้ชั้นรากเสียหายมากเกินไป ให้ดำเนินการต่อไปนี้
เพิ่มระยะห่างของรูเจาะ
ลดขนาดเดือยเจาะลง
ลดความลึกของเดือยเจาะลง
ถอดเดือยเจาะบางส่วนออก
การยกตัวตอนที่เดือยเจาะแบบตันถูกดึงขึ้นมาจากสนาม อาจทำให้สนามเสียหายได้ โดยอาจจะทำให้ชั้นรากฉีกขาดหากความหนาแน่นหรือเส้นผ่านศูนย์กลางของเดือยเจาะสูงเกินไป
เมื่อเติมอากาศด้วยเดือยเจาะแบบตันที่ยาวขึ้น (กล่าวคือยาว 3/8 x 4 นิ้ว) หรือเดือยเจาะแบบเข็ม ปากรูเจาะอาจจะลากเป็นทางยาวหรือครูดไปกับสนาม ในกรณีนี้ หากต้องการให้รูเจาะมีคุณภาพสูง ควรลดความเร็วรอบเดินเบาของเครื่องยนต์เป็น 2800 ถึง 2900 รอบต่อนาที เนื่องจากความเร็วในการขับเคลื่อนและความเร็วของหัวเดือยจะเพิ่มขึ้นและลดลงตามความเร็วของเครื่องยนต์ ดังนั้นระยะห่างของรูเจาะจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
แต่หากลดความเร็วของเครื่องยนต์ลงแล้วยังแก้ปัญหาคุณภาพรูเจาะของเดือยเจาะแบบตันขนาดใหญ่ไม่ได้ อาจจำเป็นต้องปรับค่ากลไกแดมป์เปอร์ Roto-Link ให้แข็งขึ้น ซึ่งการตั้งค่า Roto-Link อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ปากรูเจาะบิดเบี้ยวได้ อย่างไรก็ตาม การตั้งค่าเริ่มต้นจากโรงงานมักจะให้ผลดีที่สุดในกรณีส่วนใหญ่
Note: ลองปรับ Roto-Links ครึ่งหนึ่ง (3 แขน) แล้วทดสอบดูความแตกต่างบนบริเวณที่ใช้ทดลอง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ถอดน็อตล็อคที่ยึดชุดแดมป์เปอร์ Roto-Link เข้ากับโครงหัวเดือยออก
ถอดตัวคั่นแดมเปอร์ด้านบนที่หนา 1.25 ซม. (1/2 นิ้ว) ออก แล้วยึดชุดแดมเปอร์ Roto-Link เข้ากับโครงหัวเดือยให้แน่นหนาอีกครั้ง อย่าลืมใช้แหวน D แบบชุบแข็ง
คลายสลักเกลียวที่ยึดแผ่นกันกระแทกออก
เลื่อนแผ่นกันกระแทกไปด้านหน้าและยึดด้วยสลักเกลียว วิธีนี้จะช่วยให้แผ่นกันกระแทกของ Roto-Link แกว่งได้อย่างอิสระ
เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ไปยังบริเวณทดลองใช้งาน แล้วเปรียบเทียบคุณภาพหลุม หากคุณภาพหลุมดีขึ้น ให้ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันนี้กับชุดแดมป์เปอร์ Roto-Link ส่วนที่เหลือ
Note: หากต้องการเปลี่ยนกลับมาใช้เดือยเจาะแกนหรือเดือยเจาะขนาดเล็ก คุณต้องกลับตำแหน่งของแดมป์เปอร์ Roto-Link
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดึงเบรกมือ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งก่อนจะลุกออกจากอุปกรณ์
ดูแลรักษาให้ชิ้นส่วนทั้งหมดของอุปกรณ์มีสภาพดีและทำงานได้ตามปกติ และขันชิ้นส่วนทั้งหมดให้แน่นหนา
เปลี่ยนป้ายที่สึกหรอ ชำรุด หรือหายไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ล้างอุปกรณ์อย่างทั่วถึง
ใช้แปรงขจัดสิ่งสกปรกสะสมออก
Note: ใช้สายยางที่ไม่มีหัวฉีดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลผ่านซีลเข้าไปปนเปื้อนจาระบีบนแบริ่ง
ทำความสะอาดฝาครอบโดยใช้สารทำความสะอาดที่มีฤทธิ์อ่อน
หลังทำความสะอาดเสร็จ ให้เคลือบด้วยแว็กซ์สำหรับยานยนต์เป็นประจำเพื่อให้ฝาครอบมันวาวอยู่เสมอ
ตรวจสภาพอุปกรณ์เพื่อหาความเสียหาย น้ำมันรั่ว รวมทั้งส่วนประกอบและเดือยเจาะที่สึกหรอ
ถอดเดือยเจาะออก ทำความสะอาด และเคลือบน้ำมัน พ่นละอองน้ำมันบางๆ บนแบริ่งหัวเจาะ (ก้านโยงข้อเหวี่ยงและแดมเปอร์)
Important: หากจัดเก็บอุปกรณ์ไว้นานกว่าสองหรือสามวัน ให้ใช้สลักซ่อมบำรุงยึดหัวเดือยไว้
การขับอุปกรณ์บนถนนหรือเส้นทางโดยไม่มีไฟเลี้ยว ไฟส่องสว่าง เครื่องหมายสะท้อนแสง หรือป้ายรถเคลื่อนที่ช้านั้นเป็นอันตราย อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บได้
ห้ามขับอุปกรณ์นี้บนถนนหรือทางสาธารณะ
Important: ใช้ทางลาดแบบเต็มความกว้างเพื่อย้ายอุปกรณ์ขึ้นรถพ่วงหรือรถบรรทุก
บรรทุกอุปกรณ์ขึ้นรถพ่วงหรือรถบรรทุก (แนะนำให้หัวเดือยอยู่ด้านหน้า)
เข้าเบรกจอด ดับเครื่องยนต์ และดึงกุญแจออก
ใช้สลักซ่อมบำรุงยึดหัวเดือยเอาไว้ โปรดดู การหนุนหัวเดือยด้วยสลักซ่อมบำรุง
ปิดวาล์วจัดการจ่ายเชื้อเพลิง โปรดดู วาล์วตัดการจ่ายเชื้อเพลิง.
ผูกอุปกรณ์เข้ากับรถพ่วงหรือรถบรรทุกด้วยสายเคเบิล สายโซ่ หรือสายผูกยึด โดยใช้จุดผูกยึดบนอุปกรณ์
น้ำหนัก | 721 กก. (1,590 ปอนด์) หรือ 805 กก. (1,775 ปอนด์) โดยมีน้ำหนัก 2 ระดับให้เลือก |
ความกว้าง | ขั้นต่ำ 130 ซม. (51 นิ้ว) |
ความยาว | ขั้นต่ำ 267 ซม. (105 นิ้ว) |
มุมทางลาด | ความชันไม่เกิน 3.5/12 (16°) |
ทิศทางการบรรทุก | หัวเดือยอยู่ด้านหน้า (แนะนำ) |
น้ำหนักลากจูงของยานพาหนะ | มากกว่าน้ำหนักรวมสูงสุดของรถพ่วง (GTW) |
Important: ห้ามใช้รถพ่วง/รถลากไฮโดรเจ็กต์ลากพ่วงอุปกรณ์นี้
Note: ดูด้านซ้ายและขวาของอุปกรณ์จากตำแหน่งปกติในการควบคุมอุปกรณ์
หากคุณเสียบกุญแจทิ้งไว้ อาจมีคนสตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ตั้งใจและทำให้คุณหรือคนที่อยู่รอบข้างบาดเจ็บได้
เข้าเบรกจอด ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และยึดหัวเดือยด้วยสลักซ่อมบำรุงก่อนจะซ่อมบำรุงหรือปรับอุปกรณ์
ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก (ถ้าเสียบกุญแจอยู่) รอให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดนิ่ง และรอให้เครื่องยนต์เย็นลงก่อนปรับ ซ่อมบำรุง ทำความสะอาด หรือจัดเก็บอุปกรณ์
ทำตามคำแนะนำการบำรุงรักษาที่อธิบายไว้ในคู่มือฉบับนี้เท่านั้น หากต้องซ่อมบำรุงครั้งใหญ่หรือต้องการความช่วยเหลือ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ Toro ที่ได้รับอนุญาต
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัย โดยการขันน็อต สลักเกลียว และสกรูให้แน่นหนา
หากเป็นไปได้ อย่าบำรุงรักษาในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน อยู่ห่างจากชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
ค่อยๆ ปล่อยแรงดันจากส่วนประกอบที่มีพลังงานสะสมเก็บไว้
ตรวจสอบสลักเกลียวยึดเดือยเจาะเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าขันแน่นตามข้อกำหนดแล้ว
ติดตั้งแผงกั้นทั้งหมดให้เข้าที่ และปิดกระโปรงอุปกรณ์ให้แน่นหนาหลังจากบำรุงรักษาหรือปรับอุปกรณ์แล้ว
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 8 ชั่วโมงแรก |
|
หลังจาก 50 ชั่วโมงแรก |
|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
ทุก 50 ชั่วโมง |
|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
ทุก 250 ชั่วโมง |
|
ทุก 500 ชั่วโมง |
|
ก่อนจัดเก็บ |
|
ทุกปี |
|
Important: ดูขั้นตอนการบำรุงรักษาเพิ่มเติมได้จากคู่มือสำหรับเจ้าของเครื่องยนต์
ถ่ายสำเนาหน้านี้ไว้เพื่อนำไปใช้งานเป็นประจำ
รายการตรวจสอบสำหรับการบำรุงรักษา | สำหรับสัปดาห์: | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
จ. | อ. | พ. | พฤ. | ศ. | ส. | อา. | |
ตรวจสอบการทำงานของสวิตช์อินเตอร์ล็อคนิรภัย | |||||||
ตรวจสอบการทำงานของเบรก | |||||||
ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง | |||||||
ตรวจสอบระดับน้ำมัน | |||||||
ตรวจสอบระบบกรองอากาศ | |||||||
ตรวจสอบเศษสิ่งต่างๆ บนเครื่องยนต์ | |||||||
ตรวจสอบเสียงเครื่องยนต์ที่ผิดปกติ | |||||||
ตรวจสอบเสียงการทำงานที่ผิดปกติ | |||||||
ตรวจสอบระดับน้ำมันไฮดรอลิก | |||||||
ตรวจสอบท่ออ่อนไฮดรอลิกเพื่อดูความเสียหาย | |||||||
ตรวจสอบน้ำยารั่วไหล | |||||||
ตรวจสอบการทำงานของแผงหน้าปัด | |||||||
ตรวจสอบสภาพเดือยเจาะ | |||||||
ทำสีที่ชำรุด |
ตรวจสอบโดย: | ||
รายการ | วันที่ | ข้อมูล |
1 | ||
2 | ||
3 | ||
4 | ||
5 | ||
6 | ||
7 | ||
8 |
Important: ดูขั้นตอนการบำรุงรักษาเพิ่มเติมได้จากคู่มือสำหรับเจ้าของเครื่องยนต์
หากคุณเสียบกุญแจทิ้งไว้ อาจมีคนสตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ตั้งใจและทำให้คุณหรือคนที่อยู่รอบข้างบาดเจ็บได้
ดึงกุญแจออกจากสวิตช์สตาร์ทและถอดสายไฟออกจากหัวเทียนก่อนทำการบำรุงรักษา วางสายไฟพักไว้เพื่อไม่ให้แตะกับหัวเทียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
Important: ตัวยึดบนฝาครอบอุปกรณ์รุ่นนี้ออกแบบมาให้ยังอยู่บนฝาครอบหลังจากถอดออก คลายตัวยึดทั้งหมดบนฝาครอบแต่ละอันสองสามรอบ เพื่อคลายฝาครอบออก แต่ยังคงยึดอยู่ จากนั้นกลับไปคลายตัวยึดต่อจนฝาครอบหลุดออก วิธีนี้ป้องกันไม่ให้คุณดึงสลักเกลียวออกมาจากที่ยึดโดยไม่ได้ตั้งใจ
หากไม่ได้ขัดอุปกรณ์ไว้อย่างเหมาะสมโดยใช้บล็อคหรือแม่แรง อุปกรณ์อาจจะขยับหรือตกลงมา และเป็นสาเหตุให้บาดเจ็บได้
เมื่อต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ต่อพ่วง ล้อ หรือทำงานซ่อมบำรุงอื่นๆ ให้ใช้บล็อค เครื่องยก และแม่แรงที่ถูกต้อง
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบที่มั่นคงแข็งแรง เช่น พื้นคอนกรีต
ก่อนยกอุปกรณ์ ให้ถอดอุปกรณ์ต่อพ่วงที่อาจทำให้ไม่ปลอดภัยออก และยกอุปกรณ์ขึ้นอย่างถูกต้อง
ขัดหรือบล็อคล้อไว้เสมอ ใช้ขาตั้งแม่แรงหรือบล็อคไม้มาพยุงรับน้ำหนักของอุปกรณ์ที่ถูกยก
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ขัดล้อหลังเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ขยับ
Important: ห้ามใช้มอเตอร์ล้อหน้าเป็นจุดขึ้นแม่แรง เพราะอาจทำให้มอเตอร์ล้อเสียหายได้
วางแม่แรงไว้ใต้ส่วนหน้าของโครงอุปกรณ์อย่างปลอดภัย (รูป 37)
ยกด้านหน้าอุปกรณ์ขึ้นจากพื้น
วางขาตั้งแม่แรงหรือบล็อคไม้แข็งไว้ใต้ส่วนหน้าของโครงอุปกรณ์เพื่อพยุงน้ำหนักของอุปกรณ์
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ขัดล้อหน้าเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ขยับ
Important: ห้ามใช้มอเตอร์ล้อหลังเป็นจุดขึ้นแม่แรง เพราะอาจทำให้มอเตอร์ล้อเสียหายได้
วางแม่แรงให้มั่นคงใต้แผ่นโครงภายในล้อหลัง (รูป 38)
Note: ยกด้านท้ายของอุปกรณ์โดยใช้ตัวยก ถ้ามี ใช้ห่วงที่อยู่บนตัวเรือนแบริ่งหัวเดือยเป็นจุดต่อพ่วงตัวยก (รูป 39)
ยกด้านท้ายอุปกรณ์ขึ้นจากพื้น
วางขาตั้งแม่แรงหรือบล็อคไม้แข็งไว้ใต้โครงอุปกรณ์เพื่อพยุงน้ำหนักของอุปกรณ์
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 500 ชั่วโมง |
|
ทุกปี |
|
อุปกรณ์ไม่มีจุดอัดจาระบี
Important: แบริ่งเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะความบกพร่องของวัสดุหรือการผลิต แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือความชื้นและการปนเปื้อนที่ซึมผ่านซีลป้องกันเข้ามา แบริ่งที่ต้องหล่อลื่นด้วยจาระบีต้องบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อกำจัดเศษวัสดุที่เป็นอันตรายออกจากบริเวณแบริ่ง ส่วนแบริ่งแบบซีลจะอัดจาระบีชนิดพิเศษมาเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งซีลในตัวยังมีความแข็งแรงทนทานและช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งปนเปื้อนและความชื้นเล็ดลอดเข้าไปในส่วนลูกกลิ้งได้
แบริ่งแบบซีลไม่จำเป็นต้องอัดจาระบีหรือบำรุงรักษาในระยะสั้น จึงช่วยลดภาระในการซ่อมบำรุงที่ต้องทำเป็นประจำ รวมทั้งลดโอกาสที่จะสนามเสียหายจากการปนเปื้อนจาระบีด้วย ชุดแบริ่งแบบซีลเหล่านี้มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานเป็นเลิศในสภาพการใช้งานตามปกติ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสภาพของแบริ่งและความสมบูรณ์ของซีลเป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้คุณใช้อุปกรณ์ไม่ได้ โดยควรตรวจสภาพของแบริ่งทุกฤดูกาลและเปลี่ยนใหม่ หากพบว่าเสียหายหรือสึกหรอ แบริ่งควรทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่เกิดลักษณะบ่งชี้ความเสียหาย เช่น ความร้อนสูง เสียงรบกวน หลวม หรือมีสนิม
เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานแบบต่างๆ ที่มีการนำแบริ่งไปใช้งาน (เช่น ทราย สารเคมีในสนาม น้ำ แรงกระแทก) ทำให้แบริ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่เกิดการสึกหรอได้ตามปกติ ดังนั้น ปกติแล้วแบริ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้ด้วยสาเหตุอื่นใดนอกเหนือจากความบกพร่องด้านวัสดุและฝีมือการผลิต จะไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้การรับประกัน
Note: หากคุณไม่ล้างอุปกรณ์อย่างถูกต้อง อาจจะส่งผลเสียต่อแบริ่งได้ ดังนั้น ห้ามล้างอุปกรณ์ขณะที่ยังร้อน และหลีกเลี่ยงการฉีดพ่นด้วยแรงดันสูงหรือปริมาณมากที่แบริ่ง
แบริ่งใหม่มักจะขับจาระบีบางส่วนออกมาจากซีลและติดอยู่บนอุปกรณ์ใหม่ จาระบีดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจากเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ใช่เพราะความร้อนสูงเกินไป ให้เช็ดจาระบีส่วนเกินออกจากซีลหลังจากใช้งาน 8 ชั่วโมงแรก บริเวณรอบๆ ขอบซีลอาจจะดูเหมือนเปียกอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานของแบริ่ง และช่วยให้ขอบซีลหล่อลื่น
ดับเครื่องยนต์ก่อนตรวจสอบระดับน้ำมันหรือเติมน้ำมันลงในห้องข้อเหวี่ยง
อย่าเปลี่ยนความเร็วของตัวควบคุมความเร็วหรือเร่งรอบเครื่องมากเกินไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 25 ชั่วโมง |
|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ทำความสะอาดรอบๆ ระบบกรองอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไปในเครื่องยนต์และอาจก่อให้เกิดความเสียหาย
ถอดสกรูและถอดฝาครอบกรองอากาศออก (รูป 40)
ค่อยๆ เลื่อนไส้กรองโฟมขั้นต้นออกจากไส้กรองกระดาษอย่างระมัดระวัง (รูป 40)
ถอดน็อตฝาครอบ จากนั้นถอดฝาครอบ ตัวคั่น และไส้กรองกระดาษออกมา (รูป 40)
Important: เปลี่ยนไส้กรองโฟมที่ฉีกขาดหรือสึกหรอ
ล้างไส้กรองโฟมขั้นต้นด้วยสบู่เหลวและน้ำอุ่น ตอนทำความสะอาด ควรล้างให้หมดจด
นำผ้าสะอาดมาห่อไส้กรองขั้นต้นและบีบน้ำออก (แต่อย่าบิด)
เทน้ำมัน 3 ถึง 6 ซล. (1 ถึง 2 ออนซ์) ลงบนไส้กรองขั้นต้น (รูป 41)
บีบไส้กรองขั้นต้นเพื่อให้น้ำมันกระจายทั่ว
ตรวจสอบหารอยฉีกขาด ฟิล์มมันวาว หรือความเสียหายที่ซีลยางของไส้กรองกระดาษ (รูป 42)
Important: ห้ามทำความสะอาดไส้กรองกระดาษเด็ดขาด เปลี่ยนไส้กรองกระดาษที่สกปรกหรือเสียหาย
Important: เพื่อป้องกันเครื่องยนต์เสียหาย ควรใช้งานเครื่องยนต์ที่ชุดกรองอากาศติดตั้งทั้งไส้กรองโฟมและกระดาษไว้อย่างสมบูรณ์
ประเภทน้ำมัน: น้ำมันชะล้างคุณภาพสูง (มาตรฐาน API Service SJ ขึ้นไป)
ความหนืด: ดูตารางด้านล่าง
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
เครื่องยนต์เติมน้ำมันในห้องข้อเหวี่ยงมาให้แล้วจากโรงงาน แต่ควรตรวจสอบระดับน้ำมันก่อนและหลังสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรก
ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงตามรายละเอียดใน ข้อมูลจำเพาะของน้ำมันเครื่อง
Important: อย่าเติมน้ำมันลงในห้องข้อเหวี่ยงจนล้น เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้อย่าให้เครื่องยนต์ทำงาน หากระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดต่ำ เพราะเครื่องยนต์อาจเสียหายได้
Note: เวลาที่เหมาะที่สุดในการตรวจสอบน้ำมันเครื่องคือเมื่อเครื่องยนต์เย็น ก่อนที่จะสตาร์ทอุปกรณ์เป็นครั้งแรกของวัน หากเครื่องยนต์ทำงานไปแล้ว รอให้น้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าไปสู่อ่างน้ำมันเครื่องอย่างน้อย 10 นาทีก่อนที่จะตรวจสอบ
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
เช็ดรอบๆ ก้านวัดระดับน้ำมัน (รูป 44) เพื่อไม่ให้ฝุ่นร่วงลงไปในช่องเติมและทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
ดึงก้านวัดออก เช็ดให้สะอาด และใส่ก้านวัดกลับเข้าไปจนสุด (รูป 44)
ดึงก้านวัดออกและตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง
ระดับน้ำมันควรอยู่ระหว่างขีดเต็ม "F" กับขีดล่าง "L" บนก้านวัด (รูป 44)
หากระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดล่าง "L" ให้เปิดฝาท่อเติม และเติมน้ำมันที่กำหนดจนกว่าน้ำมันจะถึงขีดเต็ม "F" บนก้านวัด (รูป 44)
ปิดฝาเติมน้ำมันและก้านวัดกลับเข้าที่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 50 ชั่วโมงแรก |
|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
ความจุห้องข้อเหวี่ยง: ประมาณ 1.9 ลิตร (2.0 ควอร์ต) พร้อมตัวกรอง
สตาร์ทเครื่องยนต์และปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 5 นาที เพื่อให้น้ำมันอุ่นและระบายได้ดีขึ้น
จอดอุปกรณ์ให้ฝั่งที่ต้องการระบายน้ำมันอยู่ต่ำกว่าอีกฝั่งหนึ่งเล็กน้อยเพื่อให้น้ำมันระบายออกมาจนหมด จากนั้นดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
วางอ่างไว้ใต้ช่องระบายน้ำมัน เปิดจุกระบายน้ำมันเพื่อให้น้ำมันระบายออกมา
เมื่อน้ำมันระบายออกจนหมดแล้ว ให้ใส่จุกกลับเข้าไป
Note: ทิ้งน้ำมันใช้แล้วที่ศูนย์รีไซเคิลที่มีการรับรอง
วางอ่างตื้นๆ หรือผ้าขี้ริ้วไว้ในตัวกรองเพื่อรับน้ำมัน (รูป 45)
ถอดตัวกรองเก่าออก (รูป 45 และ รูป 46) และเช็ดพื้นผิวของปะเก็นอะแดปเตอร์ตัวกรอง
เทน้ำมันใหม่ชนิดที่เหมาะสมผ่านช่องตรงกลางของตัวกรอง และหยุดเทเมื่อน้ำมันขึ้นมาถึงด้านล่างของเกลียว
รอ 1 หรือ 2 นาทีให้วัสดุตัวกรองซึมซับน้ำมัน จากนั้นเทน้ำมันที่เหลือออก
ทาน้ำมันใหม่เป็นชั้นบางๆ ที่ปะเก็นยางบนตัวกรองที่จะเปลี่ยน
ติดตั้งตัวกรองน้ำมันที่จะเปลี่ยนเข้าไปในอะแดปเตอร์ตัวกรอง หมุนตัวกรองน้ำมันตามเข็มนาฬิกาจนกว่าปะเก็นยางจะสัมผัสกับอะแดปเตอร์ตัวกรอง จากนั้นขันตัวกรองเพิ่มอีก 1/2 รอบ
ถอดฝาเติมน้ำมันออก และค่อยๆ เทน้ำมัน 80% ของปริมาณน้ำมันที่กำหนดผ่านฝาครอบวาล์ว
ตรวจสอบระดับน้ำมัน โปรดดู การตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง
ค่อยๆ เติมน้ำมันเพิ่มเพื่อให้ถึงขีด F (เต็ม) บนก้านวัด
ปิดฝาเติมน้ำมันและก้านวัดกลับเข้าที่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
ตรวจสอบว่าระยะห่างเขี้ยวระหว่างตรงกลางกับเขี้ยวหัวเทียนถูกต้องก่อนจะติดตั้งหัวเทียนแต่ละตัว ใช้ประแจหัวเทียนในการถอดและติดตั้งหัวเทียน และเครื่องมือวัดช่องว่าง/ฟีลเลอร์เกจเพื่อตรวจสอบและปรับระยะห่างเขี้ยว ติดตั้งหัวเทียนอันใหม่ ถ้าจำเป็น
ประเภท: Champion RC12YC หรือเทียบเท่า ระยะห่างเขี้ยว: 0.75 มม. (0.03 นิ้ว)
ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ดึงสายไฟออกจากหัวเทียน (รูป 47)
ทำความสะอาดรอบๆ หัวเทียน
ถอดทั้งหัวเทียนและปะเก็นโลหะออก
ดูที่ตรงกลางของหัวเทียนทั้งสองตัว (รูป 48) หากคุณเห็นจุดสีน้ำตาลหรือสีเทาบนฉนวน แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานถูกต้อง คราบสีดำบนฉนวนมักแสดงว่าระบบกรองอากาศสกปรก
Important: ห้ามทำความสะอาดหัวเทียน เปลี่ยนหัวเทียนเสมอเมื่อเห็นคราบสีดำ เขี้ยวหัวเทียนสึกหรอ และฟิล์มน้ำมัน หรือรอยแตก
ตรวจสอบช่องว่างระหว่างตรงกลางกับเขี้ยวหัวเทียน (รูป 48)
งอเขี้ยวหัวเทียน (รูป 48) หากช่องว่างไม่ถูกต้อง
หมุนหัวเทียนเข้าในรูหัวเทียน
ขันหัวเทียนจนได้แรงบิด 27 นิวตันเมตร (20 ฟุตปอนด์)
ดันสายไฟเข้าไปบนหัวเทียน (รูป 47)
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ตรวจสอบและทำความสะอาดแผงตะแกรงเครื่องยนต์ก่อนใช้งานแต่ละครั้ง นำเศษหญ้า ฝุ่นละออง หรือเศษสิ่งสกปรกอื่นๆ ออกจากตะแกรงระบบอากาศเข้าของเครื่องยนต์
น้ำมันเชื้อเพลิงและไอน้ำมันจะติดไฟง่ายและเกิดการระเบิดได้ง่ายในบางสภาวะ เพลิงไหม้และการระเบิดที่เกิดจากเชื้อเพลิงอาจทำให้คุณและผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ รวมถึงทำให้ทรัพย์สินเสียหายได้
เติมเชื้อเพลิงนอกอาคารในพื้นที่โล่งขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่และไม่ได้ติดเครื่องอยู่ เช็ดน้ำมันที่หกออกมา
อย่าเติมน้ำมันมากเกินไป เติมน้ำมันลงในถังจนกระทั่งระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าด้านบนของถัง (ไม่ใช่ช่องเติมเชื้อเพลิง) 25 มม. (1 นิ้ว) พื้นที่ว่างในถังนี้เผื่อไว้ให้น้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัว
อย่าสูบบุหรี่ขณะจัดการเชื้อเพลิง และอยู่ให้ห่างจากเปลวไฟหรือบริเวณที่ประกายไฟอาจทำให้ไอเชื้อเพลิงติดไฟได้
จัดเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงในภาชนะสะอาดที่ผ่านการรับรองด้านความปลอดภัย และปิดฝาเข้าที่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 100 ชั่วโมง |
|
Important: อย่าติดตั้งตัวกรองที่สกปรกหลังจากถอดออกจากท่อเชื้อเพลิง
ในบางสภาวะ น้ำมันเชื้อเพลิงอาจติดไฟและเกิดการระเบิดได้ง่ายมาก เพลิงไหม้และการระเบิดที่เกิดจากเชื้อเพลิงอาจทำให้คุณและผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ รวมถึงทำให้ทรัพย์สินเสียหายได้
ระบายน้ำมันออกจากถังน้ำมันขณะที่เครื่องยนต์เย็น ขั้นตอนนี้ต้องทำกลางแจ้งในพื้นที่โล่ง เช็ดน้ำมันที่หกออกมา
อย่าสูบบุหรี่ขณะระบายน้ำมันเชื้อเพลิง และอยู่ให้ห่างจากเปลวไฟหรือบริเวณที่ประกายไฟอาจทำให้ไอเชื้อเพลิงติดไฟได้
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ปิดวาล์วจัดการจ่ายเชื้อเพลิง (รูป 49)
คลายข้อรัดท่ออ่อนที่ตัวกรองเชื้อเพลิง จากนั้นเลื่อนขึ้นไปตามท่อเชื้อเพลิงให้ออกห่างจากตัวกรองเชื้อเพลิง (รูป 49)
ถอดท่อเชื้อเพลิงออกจากตัวกรองเชื้อเพลิง (รูป 49) เปิดวาล์วจัดการจ่ายเชื้อเพลิง และระบายเชื้อเพลิงลงถังหรืออ่างระบาย
Note: ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะกับการติดตั้งตัวกรองเชื้อเพลิงอันใหม่ที่สุดเพราะถังน้ำมันว่างเปล่า
ติดตั้งท่อเชื้อเพลิงไปบนตัวกรองเชื้อเพลิง เลื่อนข้อรัดท่ออ่อนไปยังตัวกรองเชื้อเพลิงเพื่อยึดท่อเชื้อเพลิงไว้ (รูป 49)
ตัดการเชื่อมต่อแบตเตอรี่ก่อนซ่อมบำรุงอุปกรณ์ ถอดขั้วลบออกก่อน ตามด้วยขั้วบวก ต่อขั้วบวกก่อน ตามด้วยขั้วลบ
ชาร์จแบตเตอรี่ในพื้นที่เปิดโล่งที่ระบายอากาศได้ดี ห่างจากประกายไฟและเปลวไฟ ถอดปลั๊กเครื่องชาร์จก่อนต่อหรือตัดการเชื่อมต่อแบตเตอรี่
สวมใส่ชุดป้องกันและใช้เครื่องมือมีฉนวน
เสาแบตเตอรี่ ขั้ว และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้องมีตะกั่วและสารประกอบตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นสารเคมีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทราบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ ดังนั้น ควรล้างมือหลังจากสัมผัส
ขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่ทำให้เกิดก๊าซที่อาจระเบิดได้
ห้ามสูบบุหรี่ใกล้แบตเตอรี่และ อย่านำประกายไฟและเปลวไฟเข้าใกล้แบตเตอรี่โดยเด็ดขาด
ขั้วแบตเตอรี่หรือเครื่องมือโลหะอาจลัดวงจรกับส่วนประกอบโลหะของรถลากพ่วงหรืออุปกรณ์ ทำให้เกิดประกายไฟได้ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
เมื่อถอดหรือติดตั้งแบตเตอรี่ อย่าให้ขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
อย่าให้เครื่องมือโลหะลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่กับส่วนโลหะใดๆ
การเดินสายไฟแบตเตอรี่ไม่ถูกต้องอาจทำให้อุปกรณ์และสายไฟเสียหาย โดยทำให้เกิดประกายไฟ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
ถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ก่อนถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เสมอ
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ก่อนต่อสายไฟขั้วลบ (สีดำ) เสมอ
ปลดสลักและเปิดฝาครอบช่องวางแบตเตอรี่
ยกแบตเตอรี่ออกจากช่องวางแบตเตอรี่
ถอดส่วนกดยึดแบตเตอรี่และก้านกดยึดแบตเตอรี่มาวางลงในถาด (รูป 50)
ถอดสลักเกลียวและน็อตที่ยึดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ (–) ออก และถอดสายไฟขั้วลบออก
ถอดสลักเกลียวและน็อตที่ยึดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก (+) ออก และถอดสายไฟขั้วบวกออก
ทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่
ต่อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ 3-4 แอมป์เข้ากับเสาแบตเตอรี่ ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกำลัง 3 ถึง 4 แอมป์เป็นเวลา 4 ถึง 8 ชั่วโมง
เมื่อชาร์จแบตเตอรี่แล้ว ถอดเครื่องชาร์จออกจากเต้ารับไฟฟ้าและเสาแบตเตอรี่
สอดแบตเตอรี่เข้าในถาดในช่องวางแบตเตอรี่ดังแสดงใน รูป 50
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก (+) ด้วยสลักเกลียวและน็อตที่ถอดออกมาก่อนหน้านี้ จากนั้นเลื่อนบูตยางครอบขั้วบวกเพื่อป้องกันการลัดวงจร
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ (–) ด้วยสลักเกลียวและน็อตที่ถอดออกมาก่อนหน้านี้
เคลือบขั้วสายไฟและเสาแบตเตอรี่ด้วยน้ำยาเคลือบ Grafo 112X (หมายเลขอะไหล่ Toro 505-47)
ปิดและใส่สลักฝาครอบช่องวางแบตเตอรี่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุกปี |
|
สายไฟแบตเตอรี่ต้องยึดกับขั้วแน่นหนา เพื่อให้ขั้วไฟฟ้าสัมผัสกันดี
การเดินสายไฟแบตเตอรี่ไม่ถูกต้องอาจทำให้อุปกรณ์และสายไฟเสียหาย โดยทำให้เกิดประกายไฟ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
ถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ก่อนถอดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เสมอ
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ก่อนต่อสายไฟขั้วลบ (สีดำ) เสมอ
หากขั้วสึกกร่อน ให้ถอดสายไฟ (สายขั้วลบ (-) ออกก่อน) และขูดข้อรัดและขั้วออกแยกกัน ต่อสายไฟ (สายขั้วบวก (+) ก่อน) และเคลือบขั้วด้วยปิโตรเลียมเจลลี่
ขั้วแบตเตอรี่หรือเครื่องมือโลหะอาจลัดวงจรกับส่วนประกอบรถลากพ่วงที่เป็นโลหะ และทำให้เกิดประกายไฟได้ ประกายไฟอาจทำให้แบตเตอรี่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ระเบิด ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
เมื่อถอดหรือติดตั้งแบตเตอรี่ อย่าให้ขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
อย่าให้เครื่องมือโลหะลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่สัมผัสกับส่วนโลหะของอุปกรณ์
ปลดสลักและเปิดฝาครอบช่องวางแบตเตอรี่ (รูป 51)
ตรวจสอบว่าข้อรัดสายไฟแบตเตอรี่แน่นหนาดี และขันข้อรัดแบตเตอรี่ที่หลวมอยู่ให้แน่น
Important: ตรวจดูให้แน่ใจว่าสายแบตเตอรี่และคันเลือกความเร็วมีระยะห่างระหว่างกัน ตรวจสอบว่าคันเลือกความเร็วไม่เคลื่อนเข้าใกล้สายแบตเตอรี่ในระยะ 2.5 ซม. (1 นิ้ว) เมื่อขยับเต็มที่ อย่าต่อหรือติดเทปสายแบตเตอรี่ขั้วลบกับขั้วบวกเข้าด้วยกัน
ตรวจหาการสึกหรอบนข้อรัดสายไฟแบตเตอรี่และขั้วแบตเตอรี่ หากพบว่าขั้วสึกหรอ ให้ทำดังนี้:
ถอดสลักเกลียวและน็อตที่ยึดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ (–) ออก และถอดสายไฟขั้วลบออก
ถอดสลักเกลียวและน็อตที่ยึดสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก (+) ออก และถอดสายไฟขั้วบวกออก
ทำความสะอาดข้อรัดสายไฟและขั้วแบตเตอรี่
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก (+) ด้วยสลักเกลียวและน็อตที่ถอดออกมาก่อนหน้านี้ จากนั้นเลื่อนบูตยางครอบขั้วบวกเพื่อป้องกันการลัดวงจร
ต่อสายไฟแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ (–) ของแบตเตอรี่ด้วยสลักเกลียวและน็อตที่ถอดออกมาก่อนหน้านี้
เคลือบขั้วสายไฟและเสาแบตเตอรี่ด้วยน้ำยาเคลือบ Grafo 112X (หมายเลขอะไหล่ Toro 505-47)
ปิดและใส่สลักฝาครอบช่องวางแบตเตอรี่
ระบบไฟฟ้าได้รับการปกป้องโดยฟิวส์ (รูป 52) และไม่ต้องบำรุงรุกษา แต่หากฟิวส์ขาด ให้ตรวจสอบส่วนประกอบ/วงจรเพื่อเช็คการทำงานผิดปกติหรือการช็อต
หากต้องการเปลี่ยนฟิวส์ ให้ดึงฟิวส์ออกมา
ใส่ฟิวส์ใหม่
โมดูลควบคุมเครื่องเติมอากาศคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รวมส่วนประกอบต่างๆ อยู่ในชิ้นเดียว และผลิตมาให้มี 1 ขนาดแต่ใช้ได้กับทุกรุ่น โมดูลจะใช้ส่วนประกอบที่เป็นโซลิดสเตทและส่วนประกอบกลไกในการตรวจติดตามและควบคุมคุณลักษณะทางไฟฟ้าที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างปลอดภัยของอุปกรณ์
อินพุตของโมดูลควบคุมเครื่องเติมอากาศ ได้แก่ ด้านหน้ากดต่ำ ด้านหน้ายกสูง เคลื่อนย้าย เติมอากาศ และปรับระดับตามพื้น โดยโมดูลแบ่งออกเป็นอินพุตและเอาท์พุต ซึ่งจำแนกด้วยสัญญาณไฟ LED สีเขียวที่อยู่บนแผ่นวงจรพิมพ์ กำลังไฟฟ้าจะแสดงด้วยสัญญาณไฟ LED สีแดง
อินพุตวงจรสตาร์ทจะใช้กระแสไฟฟ้า 12 VDC ส่วนอินพุตทั้งหมดที่เหลือจะได้รับกระแสไฟฟ้าเมื่อวงจรต่อกับกราวด์ อินพุตแต่ละแบบจะมีไฟ LED ของตัวเองที่จะสว่างขึ้นเมื่อวงจรนั้นๆ ได้รับกระแสไฟฟ้า ดังนั้น ให้ใช้ LED อินพุตในการแก้ไขปัญหาสวิตช์และวงจรอินพุต
วงจรเอาต์พุตจะได้รับกระแสไฟฟ้าเมื่อชุดเงื่อนไขอินพุตถูกต้องเหมาะสม เอาต์พุตมี 3 แบบ ได้แก่ SVL, SVR และ SVQ LED เอาต์พุตจะตรวจสอบเงื่อนไขรีเลย์ที่บ่งชี้การมีอยู่ของแรงดันไฟฟ้า ณ เทอร์มินัลเอาต์พุต 1 จาก 3 เทอร์มินัล
วงจรเอาต์พุตจะไม่ตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์เอาต์พุต ดังนั้นการแก้ปัญหาทางไฟฟ้าจะต้องอาศัยการตรวจสอบ LED เอาต์พุตและอุปกรณ์แจ้งเตือน และการทดสอบความสมบูรณ์ถูกต้องของชุดสายไฟ วัดความต้านทานของส่วนประกอบที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับวงจร ความต้านทานผ่านชุดสายไฟ (ไม่ได้เชื่อมต่อที่ ACM) หรือทดสอบโดยการจ่ายพลังงานไปยังส่วนประกอบต่างๆ ชั่วคราว
ACM ไม่ได้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ภายนอกหรืออุปกรณ์แบบมือถือ ตั้งโปรแกรมใหม่ไม่ได้ และไม่ได้บันทึกข้อมูลการแก้ไขปัญหาความบกพร่องเป็นระยะๆ
ป้ายบน ACM จะแสดงสัญลักษณ์เท่านั้น สัญลักษณ์เอาต์พุต LED 3 แบบจะแสดงอยู่ในช่องเอาต์พุต ส่วน LED ทั้งหมดที่เหลือเป็นอินพุต ภาพด้านล่างแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ
ต่อไปนี้คือขั้นตอนการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ ACM:
ประเมินความบกพร่องของเอาต์พุตที่คุณพยายามจะแก้ไข
ดันสวิตช์กุญแจไปยังตำแหน่งเปิด จากนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟ LED สีแดงที่ใช้แสดงกำลังไฟฟ้าสว่างขึ้น
กดสวิตช์อินพุตทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าไฟ LED ทั้งหมดเปลี่ยนสถานะ
วางอุปกรณ์อินพุตไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้ได้เอาต์พุตที่เหมาะสม
หากมีไฟ LED เอาต์พุตดวงใดสว่างขึ้นมาโดยที่ไม่มีการทำงานเอาต์พุตที่เหมาะสม ให้ตรวจสอบชุดสายไฟ การเชื่อมต่อ และส่วนประกอบเอาต์พุต แล้วทำการซ่อมแซมตามความจำเป็น
หากไฟ LED เอาต์พุตดวงใดไม่สว่าง ให้ตรวจสอบฟิวส์ทั้งคู่
หากไฟ LED เอาต์พุตดวงใดไม่สว่าง ทั้งๆ ที่อินพุตมีความเหมาะสม ให้ติดตั้ง ACM และดูว่าข้อบกพร่องหายไปหรือไม่
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุก 50 ชั่วโมง |
|
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าทุกล้อมีแรงดันลม 0.83 บาร์ (12 ปอนด์ต่อตร.นิ้ว) ตรวจสอบแรงดันลมยางตอนล้อเย็น เพื่อให้อ่านค่าแรงดันลมยางได้เที่ยงตรงที่สุด
Important: หากแรงดันลมไม่เท่ากัน อาจทำให้ความลึกในการเจาะไม่สม่ำเสมอกัน
ล้อมีน้ำหนักมากและหนักถึง 33 กก. (73 ปอนด์)
ใช้ความระมัดระวังขณะถอดล้อออกจากชุดล้อ
อุปกรณ์จะต้องไม่เคลื่อนที่เมื่อคุณปล่อยคันควบคุมการขับเคลื่อน หากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แสดงว่าจำเป็นต้องการทำการปรับ
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ยกอุปกรณ์ขึ้น ให้ล้อหน้าและล้อหลัง 1 ล้อยกขึ้นจากพื้นดิน วางขาตั้งแม่แรงไว้ใต้อุปกรณ์ โปรดดู การยกอุปกรณ์
คลายน็อตล็อคบนลูกเบี้ยวปรับการขับเคลื่อน (รูป 56)
สตาร์ทเครื่องยนต์และปลดเบรกมือ
เครื่องยนต์จะต้องทำงานเพื่อให้คุณสามารถปรับลูกเบี้ยวการขับเคลื่อนในขั้นสุดท้ายได้ ขั้นตอนนี้อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
ดูแลให้มือ เท้า ใบหน้า และส่วนอื่นๆ ของร่างกายออกห่างจากท่อไอเสีย ชิ้นส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ที่มีอุณหภูมิสูง และชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
หมุนน็อตของลูกเบี้ยวไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งจนกระทั่งล้อไม่หมุน
จากนั้นขันน็อตล็อคเพื่อตรึงค่าที่ปรับเอาไว้
ดับเครื่องยนต์
นำขาตั้งแม่แรงออกมาและลดระดับอุปกรณ์ลงบนพื้น
ทดสอบอุปกรณ์เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ไม่เคลื่อนอีกต่อไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 8 ชั่วโมงแรก |
|
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ปลดสลักและถอดฝาครอบสายพานออก (รูป 57)
ถอดน็อตยึดแผ่นกั้นปั๊ม 2 ตัวออก จากนั้นถอดแผ่นกั้น (รูป 58)
คลายสลักเกลียวของลูกรอกรองสายพานปั๊ม พอให้สามารถขยับอยู่ภายในร่องปรับ (รูป 59)
แตะที่ด้านบนของลูกรอกรองสายพานและให้สปริงดึงเป็นตัวปรับความตึงของสายพาน
Note: ห้ามเพิ่มแรงตึงของสายพานเกินกว่าแรงตึงที่ได้จากสปริงดึง เพราะอาจทำให้ส่วนประกอบเสียหายได้
ขันสลักเกลียวลูกรอกรองสายพาน
ใส่แผ่นกั้นปั๊มและฝาครอบปั๊ม
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ทุกปี |
|
สายพานขับบนอุปกรณ์มีความแข็งแรงทนทาน แต่เมื่อสัมผัสกับรังสียูวีจากการใช้งานตามปกติ โอโซน หรือสัมผัสกับสารเคมีโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจทำให้ส่วนประกอบที่เป็นยางเสื่อมสภาพได้เมื่อเวลาผ่านไป และทำให้สึกหรอหรือสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร (กล่าวคือบิ่นหรือแตกหัก)
ตรวจสภาพสายพานเป็นประจำทุกปีเพื่อดูร่องรอยการสึกหรอ รอยแตกบนยางรับแรงอัดที่มีมากเกินไป หรือเศษสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่บนสายพาน เปลี่ยนใหม่ ถ้าจำเป็น คุณสามารถหาซื้อชุดซ่อมบำรุงสายพานที่ครบครันได้จากตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาต
หากระบบปรับระดับตามพื้นดิน True Core ต้องได้รับการซ่อมบำรุง ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุงแบบใดก็ตาม (ยกเว้นการเปลี่ยนแผงป้องกันสนาม) หรือหากแผงยึดเดือยเจาะสัมผัสกับแผงป้องกันสนามเมื่อตั้งค่าให้เจาะดินด้วยความลึกสูงสุด คุณอาจจะต้องรีเซ็ตเหล็กยึดปรับความลึก
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
หมุนโครงยึดแผงป้องกันสนามทางซ้ายมือ (รูป 60) จนกระทั่งคุณสามารถสอดหมุดล็อค เช่น ก้านเจาะหรือสลักเกลียวขนาด 8 มม. (5/16 นิ้ว) เข้าไประหว่างโครงยึดกับท่อตั้งค่าความลึกที่เชื่อมอยู่กับโครงอุปกรณ์ได้
ดันคันปรับความลึกเดือยเจาะ (รูป 60) ไปยังค่า H (ลึกที่สุด)
ตัดการเชื่อมต่อสวิตช์บอลด้านนอก (รูป 60) ออกจากชุดสายไฟ (สวิตช์ด้านหน้า–กดต่ำ)
คลายน็อตสวมทับ (ซ้ายและขวา) ที่อยู่บนเหล็กยึดปรับความลึก (รูป 60)
ใช้มัลติมิเตอร์วัดการปิดทางไฟฟ้าของสวิตช์บอล
หมุนเหล็กยึดพอให้สวิตช์บอลปิดหรือมีการสัมผัส
ขันน็อตสวมทับทางซ้ายและขวาบนเหล็กยึด
เชื่อมต่อสวิตช์บอลเข้ากับชุดสายไฟ
ดึงหมุดออกจากโครงแผงป้องกันสนามและท่อตั้งค่าความลึก
ไปพบแพทย์ทันทีหากโดนน้ำมันฉีดใส่ผิวหนัง น้ำมันที่ฉีดโดนร่างกายจะต้องให้แพทย์ผ่าตัดออกภายในสองถึงสามชั่วโมง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่ออ่อนน้ำมันไฮดรอลิกและท่อระบบมีสภาพดี และข้อต่อและการเชื่อมต่อระบบไฮดรอลิกทั้งหมดแน่นหนาก่อนจ่ายแรงดันเข้าไปในระบบไฮดรอลิก
ดูแลให้มือและร่างกายออกห่างจากจุดรั่วรูเข็มหรือหัวฉีดที่ฉีดน้ำมันไฮดรอลิกแรงดันสูง
ใช้กระดาษลังหรือกระดาษหาจุดรั่วของระบบไฮดรอลิก
ระบายแรงดันทั้งหมดในระบบไฮดรอลิกอย่างปลอดภัยก่อนจะทำงานใดๆ กับระบบไฮดรอลิก
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
ก่อนใช้งานแต่ละครั้ง ให้ตรวจสอบท่อและสายไฮดรอลิกเพื่อเช็คการรั่วไหล ข้อต่อหลวม สายหักงอ โครงยึดหลวม การสึกหรอ การเสื่อมสภาพจากสภาพอากาศและสารเคมี จากนั้นซ่อมแซมความเสียหายก่อนกลับไปใช้งานต่อ
Note: รักษาความสะอาดรอบๆ ระบบไฮดรอลิกไม่ให้มีสิ่งสกปรกสะสม
น้ำมันรถแทรกเตอร์สำหรับระบบส่งกำลัง/ไฮดรอลิกพรีเมียมของ Toro (มีจำหน่ายทั้งขนาดถัง 5 แกลลอนและถังเหล็ก 55 แกลลอน ดูหมายเลขอะไหล่ในแคตตาล็อกอะไหล่หรือสอบถามตัวแทนจำหน่าย Toro) |
น้ำมันทางเลือก: หากไม่สามารถหาซื้อน้ำมันที่ระบุไว้ได้ คุณสามารถใช้น้ำมันไฮดรอลิกสำหรับแทรกเตอร์อเนกประสงค์ (UTHF) แทนได้ แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมแบบดั้งเดิมเท่านั้น ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์น้ำมันสังเคราะห์หรือน้ำมันชนิดย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์จะต้องอยู่ภายในช่วงที่กำหนดไว้สำหรับคุณสมบัติด้านหลักๆ ดังต่อไปนี้ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต้องได้มาตรฐานอุตสาหกรรมที่กำหนดไว้ด้วย โปรดตรวจสอบกับผู้จัดจำหน่ายน้ำมันว่าผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติตรงตามข้อมูลจำเพาะเหล่านี้หรือไม่
Note: Toro จะไม่รับผิดชอบความเสียหายจากการใช้น้ำมันไฮดรอลิกเปลี่ยนทดแทนที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงน่าเชื่อถือเท่านั้น
คุณสมบัติวัสดุ: | |
ความหนืด, ASTM D445 | cSt ที่ 40°C (104°F) 55 ถึง 62 |
ดัชนีความหนืด ASTM D2270 | 140 ถึง 152 |
จุดไหลเท, ASTM D97 | -37°C ถึง -43°C (-35°F ถึง -46°F) |
ข้อมูลจำเพาะของอุตสาหกรรม: API GL-4, AGCO Powerfluid 821 XL, Ford New Holland FNHA-2-C-201.00, Kubota UDT, John Deere J20C, Vickers 35VQ25 และ Volvo WB-101/BM | |
Note: น้ำมันไฮดรอลิกส่วนใหญ่เกือบจะไม่มีสี ทำให้การมองหาจุดรั่วได้ยาก สีย้อมน้ำมันไฮดรอลิกสีแดงมีจัดจำหน่ายเป็นขวดขนาด 20 มล. (0.67 ออนซ์ของเหลว) ซึ่งขวดหนึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับน้ำมันไฮดรอลิก 15 ถึง 22 ลิตร (4 ถึง 6 แกลลอนสหรัฐ) สามารถแจ้งหมายเลขสั่งซื้ออะไหล่ 44-2500 กับตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาต
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
ก่อนการใช้งานแต่ละครั้งหรือทุกวัน |
|
Important: ตรวจสอบระดับน้ำมันไฮดรอลิกก่อนการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรก และทุกวันหลังจากนั้น
ถังน้ำมันไฮดรอลิกเติมน้ำมันไฮดรอลิกคุณภาพสูงมาแล้วจากโรงงาน
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ปลดสลักและถอดฝาครอบสายพานออก (รูป 61)
ทำความสะอาดบริเวณรอบช่องเติมและฝาของถังไฮดรอลิก (รูป 62) เปิดฝาออกจากช่องเติม
ดึงก้านวัดออกจากช่องเติมและเช็ดด้วยผ้าขี้ริ้วสะอาด สอดก้านวัดลงในช่องเติม จากนั้นดึงออกมาเพื่อดูระดับน้ำมัน ระดับน้ำมันต้องไม่เกินกว่าระดับของขีดเครื่องหมายบนก้านวัด (รูป 63)
หากน้ำมันเหลือน้อย เติมน้ำมันไฮดรอลิกที่กำหนดพอให้ระดับถึงขีดเต็ม
ใส่ก้านวัดเข้าที่และปิดฝาช่องเติม
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 8 ชั่วโมงแรก |
|
ทุก 200 ชั่วโมง |
|
ความจุอ่างน้ำมันไฮดรอลิก: ประมาณ 6.6 ลิตร (1.75 แกลลอนสหรัฐ)
Important: ห้ามเปลี่ยนตัวกรองน้ำมันยานยนต์เป็นตัวกรองแบบอื่น มิฉะนั้นอาจทำให้ระบบไฮดรอลิกเสียหายอย่างรุนแรง
Note: การถอดตัวกรองขากลับจะเป็นการระบายของเหลวทั้งหมดในอ่างน้ำมันออกมา
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
วางอ่างระบายไว้ใต้ตัวกรอง จากนั้นถอดตัวกรองอันเก่าออก และเช็ดผิวของปะเก็นอะแดปเตอร์ตัวกรองให้สะอาด (รูป 64)
ทาน้ำมันไฮดรอลิกเป็นชั้นบางๆ ที่ปะเก็นยางบนตัวกรองที่จะเปลี่ยน
ติดตั้งตัวกรองน้ำมันไฮดรอลิกที่จะเปลี่ยนลงบนอะแดปเตอร์ตัวกรอง หมุนตัวกรองน้ำมันแต่ละตัวตามเข็มนาฬิกาจนกว่าปะเก็นยางจะสัมผัสกับอะแดปเตอร์ตัวกรอง จากนั้นขันเพิ่มอีก 1/2 รอบ
เติมน้ำมันไฮดรอลิกที่กำหนดจนกระทั่งระดับน้ำมันถึงขีดเต็มบนก้านวัด โปรดดู การตรวจสอบระดับน้ำมันไฮดรอลิก
สตาร์ทเครื่องยนต์ และปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานประมาณ 2 นาทีเพื่อไล่อากาศออกจากระบบ ดับเครื่องยนต์และดึงกุญแจออก จากนั้นตรวจสอบการรั่วไหล
ตรวจสอบระดับน้ำมันอีกครั้งขณะที่น้ำมันยังอุ่นอยู่ เติมน้ำมันไฮดรอลิกที่กำหนดจนกระทั่งระดับน้ำมันถึงขีดเต็มบนก้านวัด ถ้าจำเป็น
Note: อย่าเติมน้ำมันไฮดรอลิกลงในอ่างน้ำมันมากเกินไป
ระยะการซ่อมบำรุง | ขั้นตอนการบำรุงรักษา |
---|---|
หลังจาก 8 ชั่วโมงแรก |
|
ทุก 250 ชั่วโมง |
|
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ตรวจสอบตัวยึดหัวเดือย ตัวยึดด้ามจับคันไถ และน็อตล็อคของล้อให้แน่ใจว่ามีแรงบิดที่เหมาะสม ข้อกำหนดเกี่ยวกับแรงบิดของตัวยึดมีระบุอยู่บนป้ายการซ่อมบำรุงอ้างอิงบนหัวเดือย
แผ่นกั้นด้านข้างหัวเดือยควรปรับให้ด้านล่างอยู่ห่างจากพื้นสนามระหว่าง 25 ถึง 38 มม. (1 ถึง 1.5 นิ้ว) ขณะเติมอากาศ
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
คลายสลักเกลียวและน็อตที่ยึดแผ่นกั้นกับโครงอุปกรณ์ (รูป 67)
ปรับแผ่นกั้นขึ้นหรือลง แล้วขันน็อตให้แน่นหนา
ควรเปลี่ยนแผงป้องกันสนามทั้งหมดที่แตกหักหรือสึกหรอจนกระทั่งหนาไม่ถึง 6 มม. (1/4 นิ้ว) แผงป้องกันสนามที่แตกหักอาจจะครูดและทำให้สนามหญ้าฉีกขาดเสียหาย
แผงป้องกันสนามที่บางลงอาจทำให้ระบบปรับระดับตามพื้นดิน True Core ไม่ได้ทำงานตามการตั้งค่าความลึกที่กำหนด ทั้งเนื่องจากการสึกหรอและตัวแผงไม่แข็งแรงเช่นเดิม
ระยะห่างระหว่างรูเจาะของเครื่องเติมอากาศจะกำหนดโดยความเร็วบนพื้นที่ตั้งค่าให้กับระบบขับเคลื่อน ระยะห่างของรูเจาะตั้งค่าไว้ไม่เกิน 3 มม. (1/8 นิ้ว) ของการตั้งค่าที่กำหนดจากโรงงาน
ในกรณีที่ระยะห่างของรูเจาะแตกต่างจากค่าที่กำหนดไว้เกินกว่าที่ต้องการ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้:
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ ดึงเบรกมือ และดึงกุญแจออก
ปลดสลักและถอดฝาครอบสายพานออก (รูป 57)
ถอดน็อตยึดแผ่นกั้นปั๊ม 2 ตัวออก จากนั้นถอดแผ่นกั้น (รูป 58)
ในพื้นที่เปิดโล่งที่สามารถเติมอากาศได้อย่างอิสระ (บริเวณทดลอง) ให้ตั้งค่าคันบังคับระยะห่างรูเจาะเป็นระยะห่างรูเจาะที่ต้องการ แล้วเดินเติมอากาศอย่างน้อย 4.5 ม. (15 ฟุต)
วัดระยะห่างระหว่างรูเจาะหลายๆ รู แล้วหารด้วยจำนวนรูเจาะที่วัด เพื่อคำนวณค่าเฉลี่ยของระยะห่างรูเจาะ
ตัวอย่าง: ตั้งค่าระยะห่างระหว่างรูเจาะ 5.1 ซม. (2 นิ้ว):
21.2 หารด้วย 10 จะได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.12 แสดงว่าระยะห่างของรูเจาะยาวกว่าค่าที่ตั้งไว้ 3 มม. (0.12 นิ้ว) (รูป 69)
18.8 หารด้วย 10 จะได้ 1.88 แสดงว่าระยะห่างของรูเจาะสั้นกว่าค่าที่ตั้งไว้ 3 มม. (0.12 นิ้ว) (รูป 70)
หากจำเป็นต้องปรับ ให้หมุนสลักเกลียวหยุดของปั๊ม (รูป 71) ให้เข้าใกล้แผงหยุดมากขึ้นเพื่อลดระยะห่างของรูเจาะลง หรือหมุนสลักเกลียวหยุดให้ออกห่างจากแผงหยุดเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างรูเจาะ
ทำซ้ำขั้นตอนที่ 4 ถึง 6 จนกระทั่งระยะห่างเท่ากับค่าที่กำหนดไว้
Note: การหมุนสลักเกลียวหยุดแต่ละรอบจะเป็นการปรับระยะห่างของรูเจาะประมาณ 16 มม. (5/8 นิ้ว)
เครื่องหมายกำหนดเวลาทำงานของหัวเดือยสังเกตได้ง่ายๆ จากเครื่องหมายที่อยู่บนอุปกรณ์
จอดอุปกรณ์บนพื้นราบ ดึงเบรกมือ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และรอให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งก่อนจะลุกออกจากอุปกรณ์
ถอดสายไฟหัวเทียน
กำจัดหญ้า ดิน และสิ่งสกปรกออกจากชิ้นส่วนภายนอกของเครื่องจักรทั้งหมด โดยเฉพาะเครื่องยนต์และระบบไฮดรอลิก ทำความสะอาดฝุ่นและเศษสิ่งสกปรกออกจากด้านนอกครีบหัวกระบอกสูบของเครื่องยนต์และตัวเรือนเครื่องเป่าด้วย
ซ่อมบำรุงระบบกรองอากาศ โปรดดู การซ่อมบำรุงระบบกรองอากาศ
เปลี่ยนน้ำมันห้องข้อเหวี่ยง โปรดดู การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตัวกรองน้ำมันเครื่อง
เปลี่ยนตัวกรองน้ำมันไฮดรอลิกและน้ำมันไฮดรอลิก โปรดดู การเปลี่ยนน้ำมันไฮดรอลิกและตัวกรอง
ตรวจสอบแรงดันลมยาง โปรดดู การตรวจสอบแรงดันลมยาง
ตรวจสอบสภาพเดือยเจาะ
หากคุณจัดเก็บอุปกรณ์ไว้นานกว่า 30 วัน ให้เตรียมการดังนี้:
ถอดสายแบตเตอรี่จากเสาแบตเตอรี่และยกแบตเตอรี่ออกจากอุปกรณ์
ทำความสะอาดแบตเตอรี่ ขั้ว และเสาด้วยแปรงลวดและส่วนผสมเบกกิ้งโซดา
เคลือบขั้วสายไฟและเสาแบตเตอรี่ด้วยจาระบีแบบสกินโอเวอร์ Grafo 112X (หมายเลขชิ้นส่วน Toro 505-47) หรือปิโตรเลียมเจลลี่เพื่อป้องกันการสึกกร่อน
ชาร์จแบตเตอรี่อย่างช้าๆ ทุก 60 วันนาน 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เกิดตะกั่วซัลเฟต เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เย็นจัด ควรชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม ความถ่วงจำเพาะของแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มคือ 1.265 ถึง 1.299
ขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่ทำให้เกิดก๊าซที่อาจระเบิดได้
ห้ามสูบบุหรี่ใกล้แบตเตอรี่และอย่านำประกายไฟและเปลวไฟเข้าใกล้แบตเตอรี่โดยเด็ดขาด
เก็บแบตเตอรี่บนชั้นหรือในอุปกรณ์ หากเก็บไว้ในอุปกรณ์ ให้ถอดสายไฟออก จัดเก็บแบตเตอรี่ในสถานที่เย็น เพื่อไม่ให้ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่คลายเร็ว
เติมสารคงสภาพ/ปรับสภาพชนิดปิโตรเลียมลงในเชื้อเพลิงในถัง ทำตามขั้นตอนการผสมของผู้ผลิตสารคงสภาพ อย่าใช้สารคงสภาพชนิดแอลกอฮอล์ (เอทานอลหรือเมทานอล)
Note: สารคงสภาพ/ปรับสภาพเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อผสมกับเชื้อเพลิงใหม่และใช้ตลอดเวลา
ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน 5 นาที เพื่อให้จ่ายเชื้อเพลิงที่ผสมสารคงสภาพกระจายไปทั่วระบบเชื้อเพลิง
ดับเครื่องยนต์ ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็น ระบายน้ำมันออกจากถังน้ำมัน โปรดดู การระบายถังเชื้อเพลิง
สตาร์ทเครื่องยนต์ และปล่อยไว้จนเครื่องยนต์ดับไปเอง
โช้คเครื่องยนต์ สตาร์ทและปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานจนกว่าจะไม่สตาร์ทอีก
ทิ้งเชื้อเพลิงด้วยวิธีที่ถูกต้อง และนำไปรีไซเคิลตามกฎหมายท้องถิ่น
Important: อย่าจัดเก็บเชื้อเพลิงที่ผสมสารคงสภาพ/ปรับสภาพไว้นานว่าระยะเวลาที่ผู้ผลิตสารคงสภาพเชื้อเพลิงแนะนำ
ถอดหัวเทียนออกมาตรวจสอบสภาพ โปรดดู การซ่อมบำรุงหัวเทียน หลังจากถอดหัวเทียนออกจากเครื่องยนต์ เทน้ำมันเครื่อง 2 ช้อนโต๊ะลงในรูหัวเทียนแต่ละรู จากนั้น ใช้สตาร์ทเตอร์เพื่อกระตุกสตาร์ทเครื่องยนต์และกระจายน้ำมันภายในกระบอกสูบ ใส่หัวเทียน อย่าติดตั้งสายไฟบนหัวเทียน
ตรวจสอบและขันสลัก น็อต และสกรูทั้งหมด ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดเสียหายหรือสึกหรอ
ล้างและเช็ดอุปกรณ์ทั้งเครื่องให้แห้ง ถอดเดือยเจาะออกมาทำความสะอาดและเคลือบน้ำมัน พ่นละอองน้ำมันบางๆ บนแบริ่งหัวเจาะ (ก้านโยงข้อเหวี่ยงและแดมเปอร์)
Important: คุณสามารถล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ และน้ำ ห้ามล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำแรงดันสูง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใกล้กับแผงควบคุม เครื่องยนต์ ปั๊มไฮดรอลิก และมอเตอร์
Note: ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานด้วยการเดินรอบสูง 2 ถึง 5 นาทีหลังล้าง
ซ่อมสีรอยขีดข่วนและพื้นผิวที่เปิดถึงโลหะทั้งหมด สีสามารถซื้อได้จากตัวแทนจำหน่าย Toro ที่ได้รับอนุญาต
ใส่สลักซ่อมบำรุง หากต้องจัดเก็บอุปกรณ์ไว้นานกว่าสองหรือสามวัน
จัดเก็บอุปกรณ์ในโรงรถหรือพื้นที่จัดเก็บที่แห้งและสะอาด ดึงกุญแจออกจากสวิตช์สตาร์ทเครื่องยนต์และเก็บให้ห่างจากมือเด็กหรือผู้ใช้อื่นๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาต
คลุมอุปกรณ์เพื่อป้องกันและรักษาความสะอาด
Problem | Possible Cause | Corrective Action |
---|---|---|
สตาร์ทเตอร์ไม่สตาร์ท |
|
|
เครื่องยนต์ไม่สตาร์ท สตาร์ทติดยาก หรือสตาร์ทแล้วดับ |
|
|
เครื่องยนต์สูญเสียกำลัง |
|
|
เครื่องยนต์มีความร้อนสูงเกิน |
|
|
มีการสั่นผิดปกติ |
|
|
อุปกรณ์ไม่ขยับ |
|
|
หัวเดือยไม่ทำงาน |
|
|
หัวเด้งออกระหว่างเติมอากาศ |
|
|
สนามถูกครูด/ฉีกขาดตอนเจาะเข้าหรือยกออก |
|
|
มีปัญหาเกี่ยวกับระยะห่างรูเจาะของเดือย Quad (หรือเดือยเจาะขนาดเล็ก) |
|
|
รูเจาะเป็นรอยยาวเมื่อใช้เดือยเจาะแบบดันแกนดินออกด้านข้าง |
|
|
พื้นสนามยกขึ้้น/ฉีกขาดขณะเติมอากาศ |
|
|
ด้านหน้าของรูเจาะนูนขึ้นมาหรือบุ๋มลงไป |
|
|